‘กู้เศรษฐกิจ’ แก้วิกฤติการเมือง พท.มั่นใจ 2 ปี ฟื้นความเชื่อมั่น

‘กู้เศรษฐกิจ’แก้วิกฤติการเมือง เพื่อไทยมั่นใจ 2 ปี รัฐบาลใช้งบฯ ฟื้นความเชื่อมั่น เสียงสะท้อนการเมืองชิงอำนาจรัฐ สวนทางความต้องการ ปชช.
KEY
POINTS
- ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนและภาคธุรกิจต้องการให้รัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก
- ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างความชัดเจนในนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว แก้ปัญหาหนี้สิน และกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น
- พรรคเพื่อไทยแสดงความมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ภายในเวลา 2 ปีที่เหลืออยู่
- ความกังวลต่อปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายภาษีของสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันให้รัฐบาลต้องเร่งสร้างเสถียรภาพเพื่อรับมือ
เงื่อนปมทางการเมืองผูกมัดรุมเร้า ทั้งขั้วคู่แข่ง ขั้วคู่แค้น ระดมสรรพกำลังเปิดศึกห้ำหั่น ชงคดีร้อนหลากหลายคดีเข้าสู่กระบวนการของ “ศาล-องค์กรอิสระ” ส่งผลให้ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตกอยู่ในสภาวะสั่นคลอน
คดีคลิปเสียง “แพทองธาร” สนทนา “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติรับคำร้องเอาไว้พิจารณา พร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ “ตระกูลชินวัตร - พรรคเพื่อไทย” เข้าสู่เรดโซน แดนอันตรายที่ต้องเดิมพันทุกดีลการเมือง
โดยขั้นตอนการพิจารณาและการแก้ข้อกล่าวหารวมแล้วอาจใช้เวลากว่า 60 วัน
ทว่าคล้อยหลังปฏิบัติการขึง “แพทองธาร” เอาไว้กลาง “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีปฏิบัติการดีลไม่ลับของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเจรจา “สส.พรรคประชาชน” หวังโหวตนั่ง “นายกฯ ชั่วคราว”
ทว่าดีล “สีน้ำเงิน” ผสม “สีส้ม” ทำให้ “หัวขบวนอนุรักษ์” ซึ่งยืนอยู่คนละฝั่งกับ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” เริ่มไม่ไว้วางใจปฏิบัติการของ “พรรคภูมิใจไทย” เช่นเดียวกับ “พรรคประชาชน” ที่ส่อแววจะเสียแต้มการเมืองจากฐานแฟนคลับ
แผน “นายกฯ ชั่วคราว”ส่อแววล่ม เพราะแม้ “พรรคประชาชน” จะเทโหวตให้ “อนุทิน - ภูมิใจไทย” แต่เสียงยังไม่เพียงพอให้เดินไปถึงฝั่งฝัน เนื่องจาก “พรรคขั้วอนุรักษ์” ไม่เอาด้วยกับ “เพื่อนเก่าสีน้ำเงิน”
ฟากฝั่ง “ขั้วรัฐบาล” แม้ “แพทองธาร” จะถูกขึงพืด แต่คณิตศาสตร์ทางการเมือง ยังคงเป็น “เพื่อไทย” ที่ถือไพ่ได้เปรียบ กุมสถานะเบอร์หนึ่งพรรคร่วมรัฐบาล จึงค่อนข้างมั่นใจว่าหากเกิดอุบัติเหตุกับนายกฯ อย่างไรเสีย ตัว“ผู้นำคนใหม่”ก็ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย
ทว่า ท่ามกลางความปั่นป่วนและกลเกมทางการเมือง ความคาดหวังของ “ประชาขน” กลับโฟกัสไปที่“รัฐบาล” ไม่ว่าจะอยู่ในขั้วใด ก็ต้องการให้เร่งแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในสภาวะฝืดเคือง
ก่อนหน้านี้ “กรุงเทพธุรกิจ” สำรวจความคิดเห็น “100 ซีอีโอ” องค์กรธุรกิจชั้นนำหลากหลายกลุ่ม หัวข้อ "สถานการณ์การเมืองที่มีผลต่อความเชื่อมั่นธุรกิจ การลงทุนภาคเอกชน" สำรวจวันที่ 17-29 มิ.ย.2568 ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
โดยส่วนสิ่งที่ซีอีโอคาดหวังจากรัฐบาลในอนาคต คือรัฐบาลควรเดินหน้าโครงการแก้หนี้ประชาชนจริงจัง และสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและบริการเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ
นอกจากนี้ “ซีอีโอ” แนะนำให้ “รัฐบาล” เร่งปลุกความเชื่อมั่น สร้างความชัดเจนและต่อเนื่องนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพและทิศทางที่ชัดเจนให้เศรษฐกิจไทยในอนาคต
ขณะที่นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ส่วนใหญ่มองว่าควรเร่งนโยบายการแก้หนี้ครัวเรือน และความเป็นอยู่ประชาชน รองลงมา ควรผลักดันนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและบริการ ตามด้วยนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)
ส่วนข้อเสนอแนะใดๆ ถึงรัฐบาลไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ ท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองขณะนี้ ซีอีโอ ส่วนใหญ่ มองว่า รัฐบาลควรสร้างความชัดเจนและความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว
รองลงมา ต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการและการบังคับใช้กฎหมาย และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการกำหนดนโยบาย ที่สำคัญควรลดความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า รัฐบาลมีแผนหรือยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพียงพอหรือไม่ ซีอีโอ 57.4% มองว่ายังไม่มีแผนที่ชัดเจน และไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร รองลงมา ซีอีโอ มองว่า ไม่เห็นความพยายามในการแก้ปัญหา
“สำนักโพล”ชี้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับโพลหลายสำนัก สำรวจความคาดหวังของ “ประชาชน” ต่อรัฐบาล ผลสำรวจที่ออกมา ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมือง
โดยก่อนหน้านี้ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ปัญหาเร่งด่วนของ คนไทย ณ วันนี้” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,264 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 11-14 มีนาคม 2568
มีสรุปคำถาม “5 ปัญหาเร่งด่วน” ที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไขมากที่สุด อันดับ 1 ค่าครองชีพ/ราคาสินค้า 72.55% อันดับ 2 รายได้/หนี้สิน 69.09% อันดับ 3 การเมือง 65.28% อันดับ 4 กระบวนการยุติธรรม 64.58% อันดับ 5 ปัญหาภาคการเกษตร 62.30%
ไม่ต่างจากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ก่อนหน้านี้ ได้เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ปรับ ครม.วันไหนดี” ระหว่างวันที่ 5-9 เม.ย.2568 จากกลถุ่มตัวอย่างจำนวน 1,310 คน
โดยพบว่า “กลุ่มตัวอย่าง” เสนอให้ปรับครม.ในกระทรวงเศรษฐกิจมาเป็นอันดับต้นๆ โดย 10 อันดับแรก คือร้อยละ 57.02 ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ รองลงมา ร้อยละ 48.55 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 46.49 เห็นว่าคือกระทรวงการคลัง ร้อยละ 44.43 สำนักนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 43.89 กระทรวงแรงงาน
ขณะที่ ร้อยละ 43.82 กระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 42.52 กระทรวงกลาโหม ร้อยละ 41.53 กระทรวงคมนาคม ร้อยละ 41.22 กระทรวงศึกษาธิการ และ ร้อยละ 40.07 ระบุว่า กระทรวงที่ควรปรับ ครม.คือ กระทรวงยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม การปรับครม.มีการเปลี่ยนตัว “รัฐมนตรี” กระทรวงพาณิชย์ จาก “พิชัย นริพทะพันธุ์” มาเป็น “จตุพร บุรุษพัฒน์” ซึ่งต้องพิสูจน์ฝีมือ ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการปรับเปลี่ยนในโควตาของ “พรรคกล้าธรรม” จาก “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ซึ่งโยกไปนั่ง รมว.ศึกษาธิการ มาเป็น “อรรถกร ศิริลัทธยากร” ซึ่งต้องพิสูจน์ฝีมือเช่นกัน
แนะเตรียมมาตรการฉุกเฉินปิดดีลภาษีสหรัฐ
ขณะเดียวกัน มีความเห็นที่น่าสนใจของ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการสัมมนา“เชื่อมั่นประเทศไทย โจทย์ใหม่ ในยุคเปลี่ยนแปลง” ที่จัดโดย "สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ" ว่า ภาคเอกชนต้องการให้การเมืองเร่งสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งภาคเอกชนรอดูความชัดเจนที่ควรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ประเทศไทยต้องอาศัยการเมืองที่เข้มแข็ง มีเอกภาพและสร้างความเชื่อมั่น เพราะขณะนี้จากสถานการณ์ในปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะนโยบายการเก็บภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะที่เสถียรภาพการเมืองภายในเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ดังนั้น ต้องรีบทำให้ชัดเจนเพื่อให้ประเทศพร้อมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงจากนออกประเทศที่ควบคุมไม่ได้
“สหรัฐลดภาษีนำเข้าให้เวียดนาม 20% แต่ถ้าไทยยังอยู่ที่ 36% จะเสียเปรียบในตลาดสหรัฐ เพราะไทยและเวียดนามมีโครงสร้างสินค้าส่งออกใกล้เคียงกัน และหากรัฐบาลเจรจาไม่สำเร็จ รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการฉุกเฉินช่วยผู้ส่งออก เช่น การหาตลาดใหม่ การสนับสนุนการเงินและพิจารณาเงื่อนไขการเปิดตลาดอย่างเหมาะสม ซึ่งภาคเอกชนกำลังรอความชัดเจนจากรัฐบาล” นายเกรียงไกรกล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลมีโจทย์ที่น่าห่วง คือ สินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้เอสเอ็มอีได้รับผลกระทบมาก ซึ่งไทยยังแก้ปัญหาเดิมไม่ได้แต่ยังมีปัญหาใหม่ที่สร้างผลกระทบหนักขึ้น
พท.เชื่อมั่น 2 ปีรัฐบาลฟื้นความเชื่อมั่น
ด้านพรรคเพื่อไทย “จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์” รองโฆษกพรรค ออกมาให้ความเชื่อมั่นว่า “รัฐบาลยังมีเวลาอีก 2 ปี ยังมีเวลาที่จะนำงบประมาณไปดูแลประชาชน พัฒนาโครงการลงทุนใหญ่ๆได้อีกมาก และเชื่อว่าอีก 2 ปี รัฐบาลจะยืนหยัดสร้างความเชื่อมั่น”
สำหรับข้อเสนอ “นายกฯ ชั่วคราว” ปัจจุบันการเลือกนายกฯ ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ม.159 เลือกจากบัญชีของพรรคการเมือง แม้ข้อเสนอว่า “นายกฯ ชั่วคราว” จะมีชื่ออยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองก็ตาม แต่การวางเงื่อนไขให้มีการประกาศยุบสภานั้น วิธีการดูจะเร่งร้อนและชิงความได้เปรียบทางการเมืองมากเกินไป
ทั้งหมดคือสถานการณ์ของ “ประเทศไทย” ที่เครือข่ายทางการเมือง ต่างวางเกมเพื่อแย่งชิง “อำนาจรัฐ” สวนทางกับความต้องการของ “ประชาชน” ที่ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งผูกพันกับปากท้องยังไม่ได้รับการวางแนวทางแก้ไขที่ถูกต้อง







