'สุชัชวีร์' ตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชูนโยบายปฏิรูปการศึกษา แก้วิกฤติชาติ

เส้นทาง ดร.สุชัชวีร์ หลังลาออก ปชป. ประกาศเดินตั้งพรรคใหม่ สร้างประเทศไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ชู "ธนูดอกแรก" ปฏิรูปการศึกษาเป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ มั่นใจสร้างพรรคการเมืองที่มีคนดี คนเก่ง และกล้าหาญ เดินหน้าด้วยอุดมการณ์เพื่ออนาคตลูกหลานไทย เล็งสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ก่อนไทยรั้งท้ายอาเซียน
เมื่อเร็วๆ นี้ อดีตแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ "ดร.เอ้" ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ของตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการเริ่มต้นจากการปฏิรูปการศึกษา สร้างพรรคการเมืองที่ประชาชนไว้วางใจฝากอนาคตลูกหลานไว้ได้
ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ข่าวข้น คนข่าว ทาง Nation TV ช่อง 22 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยได้เปิดเผยถึงการตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าการลาออกครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งใดๆ ภายในพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อเดินตามความฝันและอุดมการณ์ที่ต้องการเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากประเทศกำลังพัฒนาสู่ประเทศพัฒนาแล้ว เขาเชื่อว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์รอบด้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจุดกำเนิดของทุกปัญหาล้วนมาจากการศึกษา
ดังนั้น มองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องก้าวออกมาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาการศึกษา นำการศึกษาไปเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม และค่านิยมของประเทศให้สนับสนุนคนดีคนมีความรู้ให้ได้เข้ามาทำงานการเมือง และงานสำคัญของประเทศมากขึ้น
"แม้จะยังคงรักและเข้าใจแนวคิดของผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่แนวทางและอุดมการณ์ของตนไม่สอดคล้องกัน และสถานการณ์ประเทศไม่สามารถรอได้อีกต่อไป การจากกันครั้งนี้เป็นไปอย่างด้วยดี" ดร.สุชัชวีร์ กล่าว
ดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสร้างพรรคการเมือง
สำหรับแนวคิดในการการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ถือเป็นความตั้งใจที่จะดึงบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาช่วยกันทำพรรคการเมืองใหม่ นั้นยอมรับว่าจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้น โดยไม่ได้เข้าร่วมกับพรรคที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนของการคิดชื่อพรรค ซึ่งต้องรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย และไม่ใช่ชื่อพรรคไทยก้าวใหม่ตามที่สื่อบางสำนักลงข่าวไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ พรรคใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะรวบรวม ผู้คนทุกเพศทุกวัยที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คือต้องการเห็นประเทศไทยดีขึ้นและเชื่อมั่นว่าทำได้ พรรคการเมืองใหม่นี้ต้องการให้พรรคเป็นพรรคที่มีคนที่เป็นมืออาชีพในสาขาต่างๆ อย่างแท้จริง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม การเกษตร การศึกษา และเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง แต่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง
เล็งดึงบิ๊กเนมเสริมทัพ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ปฏิเสธนักการเมืองบิ๊กเนม หากมีอุดมการณ์ร่วมกันก็ยินดีทำงานด้วย หัวใจสำคัญที่สุดคือการมีอุดมการณ์ร่วมกัน เพื่อเข้ามาช่วยประเทศด้วยความรู้ความสามารถ โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ ทั้งนี้ยอมรับว่าการเชิญชวนคนดีคนเก่งเข้ามาสู่การเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย และยังไม่ได้มีการชักชวนสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ คนใดมาร่วมงานในขณะนี้ เพื่อความสุภาพ อย่างไรก็ตาม พรรคจะยังคงเดินหน้าเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป
"พรรคเราจะเป็นพรรคที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ถือว่าเรื่องประเทศชาติสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญจะมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจใหม่ คุณภาพชีวิต และการคอร์รัปชัน ขับเคลื่อนประเทศด้วยความรู้ และการศึกษา เพื่อไม่ให้ประเทศเดินผิดทิศทาง โดยไม่จำเป็นต้องนิยามตัวเองว่าเป็นอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม แต่ต้องการให้ประชาชนเห็นแล้วไว้ใจที่จะฝากอนาคตของลูกหลานไว้กับพรรคได้"
เปิดนโยบายหลักชูปฏิรูปการศึกษา
ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า สำหรับนโยบายของพรรคใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นมี ดังนี้
1. นโยบายหลัก นั้นจะเน้นไปที่การปฏิรูปการศึกษาคือ "ธนูดอกแรก" แม้ก่อนหน้านี้การพูดเรื่องการศึกษาอาจไม่ "น่าสนใจ" หรือ "ไม่เซ็กซี่" เท่าประชานิยม แต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษามากขึ้น หากไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา ประเทศไทยจะแพ้เวียดนาม และกำลังกลายเป็น "หัวหน้าเต่าของอาเซียน" จากที่เคยถูกมองว่าเป็น "เสือตัวที่ 5" เศรษฐกิจยุคใหม่ไม่ใช่การใช้แรงงานหรือขายของถูก แต่ขึ้นอยู่กับ "สมอง" และ "ทักษะ" ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกล้วนยกระดับขึ้นมาได้ด้วยการศึกษา
ทั้งนี้ นโยบายปฏิรูปการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ได้แก่ ระยะสั้น (ทำได้ทันที ไม่ต้องใช้งบประมาณมากนัก) : สนับสนุนมหาวิทยาลัยและอาชีวะให้ผลิตบุคลากรตรงกับความต้องการของตลาด เช่น ช่างยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ แพทย์ พยาบาล วิศวะ โดยรัฐบาลจะใช้ "พลังอำนาจ" เชิญชวน หรือขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและฝึกอบรมเด็ก โดยเสนอสิทธิประโยชน์หรือลดหย่อนภาษีให้เพื่อให้เด็กที่จบออกมาสามารถทำงานกับบริษัทได้ทันที เหมือนที่เวียดนามดึงดูดการลงทุนจากบริษัทระดับโลกด้วยมาตรการนี้
2. นโยบายระยะกลาง จะปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างประเทศปรับทุกเทอม และสนับสนุนพัฒนาครูให้มีเวลาสอนมากขึ้น
3. นโยบายระยะยาว (เห็นผลใน 20 ปี) นโยบายนี้จะลงทุนในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิด โดยเน้นการพัฒนาครูที่ดีที่สุดและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ดร.เอ้ เชื่อว่าหากเริ่มต้นวันนี้ อีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะกลับมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้
วางวิสัยทัศน์ 4 ด้านพัฒนาประเทศ
ทั้งนี้ การวางวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้นและเป้าหมายสำคัญ 4 ด้านนั้น จะมีการศึกษาเป็นเพียง "ธนูดอกแรก" ในการสร้างคนที่มีทักษะใหม่ ส่วนเป้าหมาย 4 ด้านจะประกอบไปด้วย
- การสร้างคน ด้วยการ ปฏิรูปการศึกษา ให้คนไทยมีทักษะใหม่
- การสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากการพัฒนาคนด้วยสมองและมูลค่าสูง ไม่พึ่งพาเพียงการท่องเที่ยวหรือแรงงานราคาถูก
- การยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน
- การปลูกฝังค่านิยม ด้วยการสนับสนุนคนดีให้เข้ามาบริหารประเทศและลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยจากนี้ในการสร้างพรรคต้องหาพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมโดยจะเดินทางเพื่อพูดคุยกับผู้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแผนจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้า เพื่อเจรจากับทุนฟุลไบรท์ สถาบันการศึกษาชั้นนำอย่าง Carnegie Mellon University (CMKL) รวมถึงสถาบันด้านสุขภาพ และ Start-up เพื่อหาพันธมิตรมาช่วยพัฒนาประเทศ
ดร.สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคที่ตนเองจะตั้งขึ้นมาใหม่นั้นจะยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก มีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งสำคัญ เช่น การศึกษา เศรษฐกิจใหม่ คุณภาพชีวิต และการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน และจะขับเคลื่อนประเทศด้วยความรู้ โดยไม่ยึดติดกับนิยามทางการเมืองแบบเดิมๆ เช่น อนุรักษ์นิยม หรือเสรีนิยม







