ปธ.วิปฝ่ายค้านเผย ถก ภท.ไร้ปัญหา คาดยังไม่ซักฟอกตอนนี้

ปธ.วิปฝ่ายค้านเผย ถก ภท.ไร้ปัญหา คาดยังไม่ซักฟอกตอนนี้

ประธานวิปฝ่ายค้านเผย 3 ก.ค. 'ณัฐพงษ์' ประเดิมตั้งกระทู้ถามสดชายแดนไทย-กัมพูชา เผยทำงานนัดแรกกับ 'ภูมิใจไทย' ไม่มีปัญหา คาดไร้คิวยื่นซักฟอก

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒนสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เปิดเผยภายหลังการประชุมของวิปฝ่ายค้าน ซึ่งถือเป็นนัดแรกภายหลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกันเป็นหลัก คือกระบวนการต่าง ๆ เช่น การแต่งตั้งพรรคภูมิใจไทยเข้ามาอยู่สัดส่วนในปีกฝ่ายค้าน แต่ยังไม่ได้สรุปตัวเลข เนื่องจากต้องใช้เวลากันสักระยะ และต้องถูกแต่งตั้งโดยผู้นำฝ่ายในสภาผู้แทนราษฎรอีกรอบ ดังนั้น ยังต้องพูดคุยกันต่อไป พรรคภูมิใจไทย ตอนนี้จึงยังไม่มีตัวเลขออกมานำเสนอหรือต่อรองใด ๆ ซึ่งไม่มีปัญหาในการพูดคุยกัน อาจจะเป็นวันที่ 3 ก.ค. หรือสัปดาห์หน้า รวมถึงการหารือร่วมกับวิปรัฐบาลด้วย เพราะสัดส่วนของ สส.เปลี่ยนไป

“สิ่งที่ตกลงเรียบร้อยแล้ว คือสัดส่วนกระทู้ถามสดด้วยวาจา ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้สิทธิ์ 2 กระทู้ต่อเดือน แต่ในวันที่ 3 ก.ค.และเรายังได้คุยกันล่วงหน้า การฝากประเด็นกันมาคุยในที่ประชุม สส. ของแต่ละพรรคในวันนี้ เพื่อจะไปหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านในวันที่ 3 ก.ค.” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะมีการคุยกันเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และการหารือเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ซึ่งเท่าที่คุยคุยกันในขณะนี้ ยังไม่มีธงขนาดนั้นว่า จำเป็นต้องยื่นญัตติแต่อย่างใด เพราะ 2 ฝ่ายยืนยันว่า สถานการณ์จากคำวินิจฉัยในเบื้องต้นของศาลรัฐธรรมนูญนั้น อาจจะกระทบต่อการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องหารือกัน เรื่องแรกคือสามารถยื่นได้หรือไม่ ควรจะยื่นหรือไม่เพราะขณะนี้ไม่ได้มีการกดดันหรือการตั้งธงว่าจำเป็นจะต้องยื่นหรือไม่ อย่างไร

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เห็นตรงกัน คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เห็นตรงกันว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่แล้ว ส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะถอนร่างหรือไม่ หรือเขียนแค่เลื่อนเพื่อซื้อเวลานั้น เราต้องมาคุยในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ซึ่งต้องเช็กด้วยว่าสัญญาณของรัฐบาลเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า ฝ่ายรัฐบาลประสานมาคุยเรื่องร่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แล้วหรือยัง นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ที่คุยกันล่าสุดยังมีความเป็นไปได้ว่า ครม.จะถอนออกไป แต่เท่าที่ทราบยังไม่มีมติออกมา คงต้องรอการประชุมอีกครั้ง

เมื่อถามว่า กลไกการตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรต่อ ในกลไกสภา นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เราพยายามจะใช้ทุกเครื่องมือ อย่างการประชุมในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จะมีการตั้งกระทู้ถามสด ของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ถึงสถานการณ์ชายเดือนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศ อยากทราบความเคลื่อนไหวของฝั่งเราว่า จะเดินอย่างไร เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ได้ยินว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม จะมาเป็นผู้ตอบกระทู้ นอกจากนี้ ในสภาฯ ยังมีอีกหลายเครื่องมือที่เราจะใช้ได้ ส่วนเรื่องนิติสงคราม พรรคประชาชนยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ยืนยันมาตลอดว่า เราไม่ต้องการให้ใช้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระใด มาใช้ดุลยพินิจ ตัดสินชีวิตของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า วิปฝ่ายค้านได้คุยกันหรือไม่ว่าระหว่างนายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะมีการดำเนินการอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศเกิดสุญญากาศ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ส่วนหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ เราตรวจสอบทุกเรื่องเหมือนเดิม กรณีที่จำเป็นต้องถามกระทู้ หรือนายกฯ ต้องมา รักษาการนายกฯ ก็ต้องมาตอบแทน เรื่องนี้สามารถบริหารต่อไปได้โดยที่ไม่มีสุญญากาศ แต่อย่างไร เรายังยืนยันว่าทางออกตอนนี้คือการยุบสภา ให้ประชาชนได้เลือกใหม่ว่าต้องการรัฐบาลหน้าตาแบบไหนมาแก้ววิกฤติ

เมื่อถามว่า จากที่ประชุมกับพรรคภูมิใจไทยนัดแรก สามารถทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาก็บอกตามตรงว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับหลายพรรคการเมืองที่อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันในหลายเรื่อง วันนี้ก็ได้พูดคุยกันแบบเคลียร์กันว่าการทำงานของวิปฝ่ายค้านภายใต้การนำของพระประชาชน หากเครื่องไหนที่เราเห็นไม่ตรงกัน ทุกพรรคมีเอกสิทธิ์ของตัวเองในการลงมติใด ๆ เรื่องนั้นๆ เราไม่บังคับหรือกดดันกัน เว้นเพียงแค่เรื่องใหญ่ๆ ที่เห็นพ้องต้องการอย่างการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องเห็นตรงกันทั้งหมด แต่ในเรื่องอื่นต้องให้สงวนสิทธิ์ตามความคิดเห็นของแต่ละพรรค