ปั่น‘รัฐประหาร’ปลุก‘ยุบสภา’ ‘อนุรักษ์นิยม’ขย่มเพื่อไทย

ปั่นรัฐประหารปลุก‘ยุบสภา’ ‘อนุรักษ์นิยม’รีเทิร์น ‘พท.-ปชน.’แนวร่วมข้ามขั้ว ‘ภท.-พปชร.’ โหนแนวร่วมนอกสภาฯ ขยี้เพื่อไทย
KEY
POINTS
- “พรรคส้ม” อ่านเกมว่า ภายใต้ความอลหม่านปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเวลานี้ พรรคเพื่อไทยจะสามารถประคับประคองรัฐบาลอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เมื่อเป็นเช่นนี้ การเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตามเกมที่กำลังได้เปรียบ
- เกมหวังผลฝั่ง“สีน้ำเงิน” ที่โชว์ภาพประสานพลัง “ลุงบ้านป่า” เป้าหมายหลักอาจอยู่ที่เกมแค้นเอาคืน “ขยี้แผล” พรรคเพื่อไทย ในสภาวะที่ “แพทองธาร” กำลังเพลี่ยงพล้ำ ชิงจังหวะโหนแนวร่วม “อนุรักษนิยม” นอกสภาฯที่ปั่นกระแส “รัฐประหาร”ในเวลานี้
- ทุกท่วงท่าของพรรคเพื่อไทยในการปลุกกระแสต่อต้านรัฐประหาร ย่อมหวังผลไปถึงการอาศัย “แนวร่วม” ข้ามขั้วจากพรรคประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้ออกมาประกาศจุดยืน
- สารพัดปัจจัยที่กำลังรายล้อม “รัฐบาลแพทองธาร” จนทำให้เดินหน้าต่อแบบทุลักทุเลในเวลานี้ ต้องจับตาไปที่“จุดตัด” การเมือง โดยสารพัดนิติสงครามซึ่งถูกมองว่า จะเป็นตัวแปรสำคัญไปสู่ “จุดพลิก”ทางการเมืองหลังจากนี้
สถานการณ์ “รัฐบาลแพทองธาร” ที่กำลังไปต่อแบบทุลักทุเล ไม่ว่าคะแนนนิยมที่สะท้อนจากผลโพลที่ดิ่งหนัก ขณะที่สถานการณ์ในพรรคร่วมรัฐบาลในสภาวะเสียงปริ่มน้ำ เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯมาไม่เกิน 20 เสียง จนถึงนาทีนี้ ยังต้องลุ้นกันวันต่อวัน
ไหนจะเจอเกมตลบหลัง จากบรรดาฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ
หลังเปิดสภาฯ วันที่ 3 ก.ค.นี้ “ภูมิใจไทย” ชิงเกมประเดิมภารกิจฝ่ายค้าน หลังถูกผลักออกจากขั้วรัฐบาล เตรียมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 หยิบยกข้อกล่าวหาเป็นภัยต่อความมั่นคงจากกรณีปรากฎคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯแพรทองธาร และ สมเด็จฮุน เซ็น ประธานวุฒิสภากัมพูชา
มีคำถามว่า เจตนาลึกๆ ที่แท้จริงของพรรคภูมิใจไทย คืออะไรกันแน่ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเงื่อนไขในการยื่นซักฟอกรอบนี้อยู่ที่เสียงสส.1 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ หรือ 99 เสียง จากจำนวนสมาชิก 495 เสียง ขณะที่ภูมิใจไทยมีเสียงในมือเวลานี้เพียง 69 ยังขาดเสียงที่จะใช้ยื่นซักฟอกอีก 30 เสียง
พรรคร่วมฝ่ายค้านที่พร้อมร่วมปฏิบัติการเวลานี้ มีเพียงพรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง ซึ่งมีสัญญาณมาจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่จะร่วมลงชื่อญัตติซักฟอก เท่ากับว่า ยังขาดเสียงที่จะยื่นซักฟอกอีกราว 10 เสียง
จับอาการของ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ล่าสุดแม้จะไม่ได้ออกอาการคัดค้านแบบชัดเจน แต่เห็นว่า “ต้องพิจารณาจังหวะให้มีความแม่นยำ”
จึงพออนุมานได้ว่า โอกาสที่พรรคประชาชนจะเห็นพ้องต้องกันกับภูมิใจไทยอาจมีเปอร์เซ็นน้อย
ทั้งนี้ ตามกฎหมายระบุว่า สภาฯ จะสามารถเปิดซักฟอกได้เพียง 1 ครั้งต่อ 1 ปีประชุม โดยวันที่ 3 ก.ค.นี้จะเป็นการเริ่มต้นการประชุมสมัยสามัญปีที่ 3 ครั้งที่ 1 (3 ก.ค.-30ต.ค. 2568) และจะไปสิ้นสุดสมัยประชุมปีที่ 3 ครั้งที่ 2 (12 ธ.ค.2568-10 เม.ย.2569) ในวันที่ 10 เม.ย.2569
นั่นหมายความว่า หากฝ่ายค้านชิงเกมเร็วยื่นซักฟอกในเวลานี้ จะสามารถยื่นญัตติซักฟอกได้อีกครั้ง หลังเปิดประชุมสมัยสามัญปีที่ 4 ครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ค.2569 หรืออีก 1 ปีข้างหน้า
แน่นอนว่า ภายใต้โจทย์ที่ต่างกัน “พรรคส้ม” อ่านเกมว่า ภายใต้ความอลหม่านปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเวลานี้ พรรคเพื่อไทยจะสามารถประคับประคองรัฐบาลอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ จึงเป็นเกมเข้าทางพรรคส้ม ที่กำลังได้เปรียบเรื่องกระแสในเวลานี้มากกว่า ฉะนั้น หากปล่อยให้มีการซักฟอกในเวลานี้ ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า นายกฯ จะไม่สามารถประกาศยุบสภาได้ จึงเท่ากับว่า เป็นการตัดโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบฝ่ายตนเอง
หรือหากถึงที่สุด มีสัญญาณไฟเขียว รัฐบาลสามารถประคับประคองรัฐนาวาต่อไปได้ ก็ยังมีเวลายื่นซักฟอกไปจนถึงเดือนเม.ย.ปีหน้า
จะว่าไปแล้ว ฝั่ง “พรรคภูมิใจไทย” และ “พรรคพลังประชารัฐ” เองก็รู้ดีถึงเกมของพรรคส้ม ฉะนั้นลึกๆแล้วเกมหวังผลฝั่ง“สีน้ำเงิน” ที่โชว์ภาพประสานพลัง “ลุงบ้านป่า” เป้าหมายหลักอาจอยู่ที่การเปิดเกมแค้นเอาคืน “ขยี้แผล” พรรคเพื่อไทย ในสภาวะที่ “แพทองธาร” กำลังเพลี่ยงพล้ำจากกรณีคลิปที่เสียงที่ลามไปสู่เกมนิติสงครามนอกสภาฯ ในจังหวะเดียวกันกับที่เรตติ้งความนิยมของนายกฯกำลังลดฮวบ
ปั่น “รัฐประหาร” ปลุก “ยุบสภา”
จุดนี้ต่างหากที่อาจเข้าทางฝั่ง “สีน้ำเงิน” และ “ลุงบ้านป่า” ในการชิงจังหวะโหนแนวร่วม “อนุรักษนิยม” นอกสภาฯ ที่กำลังเดินเกมเคลื่อนเรียกร้องให้นายกฯ “ยุบสภา” หรือ “ลาออก” ขยายผลไปถึงการปั่นกระแส “รัฐประหาร”โยงไปถึงคำปราศรัยของแกนนำ “กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่เสาร์ที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่ระบุว่า “ไม่ได้ยุให้เกิดการรัฐประหาร เพราะทหารจะรัฐประหารก็ไม่ได้บอก จะทำเมื่อไหร่ก็ทำไป ถ้าเห็นว่าวิกฤติการเมืองเกิดขึ้น และแก้ไม่ได้ เขาจะทำก็เรื่องของเขา”
เห็นชัดจากการที่ “เพจพรรคภูมิใจไทย” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. นำเสนอ “ประเทศไทย จะไปทางไหน? ระหว่างลาออก ยุบสภา และรัฐประหาร”
โดยให้สัญญาณ ไฟเขียว “นายกฯ ลาออก” พร้อมนำเสนอขั้นตอนนายกฯ พ้นจากตำแหน่ง กลไก สส. และสภาฯยังอยู่ และสรรหานายกฯ ใหม่ จากรายชื่อนี้ ประกอบด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่ ไฟเหลือง “ยุบสภา” สภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุด สส. พ้นจากตำแหน่ง เดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ นายกฯคนเดิมยังรักษาการจนกว่าจะได้นายกฯ ใหม่ (อาจนาน ถึง 5-6 เดือน) เศรษฐกิจแย่ นักลงทุนชะลอตัว จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ ใช้งบแผ่นดินอีก 6,000 ล้านบาท
ไฟแดง “รัฐประหาร” ยึดอำนาจ สิ้นสุดกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด วนลูปม็อบและประเทศหยุดชะงัก หมดงบไปกับการรักษาความสงบประชาชนอยู่ตรงไหน
‘เพื่อไทย-ประชาชน’ แนวร่วมข้ามขั้ว?
ขณะที่ “ฝั่งพรรคเพื่อไทย” อ่านเกมรู้ดูเกมออก เห็นชัดจากเกมโต้กลับของบรรดาสส.และสมาชิกพรรค แห่โพสต์โซเชียลติดแฮชแท็ก #ไม่เอารัฐประหาร
แน่นอนว่า ทุกท่วงท่าของพรรคเพื่อไทยในการปลุกกระแสต่อต้านรัฐประหาร ย่อมหวังผลไปถึงการอาศัย “แนวร่วม” ข้ามขั้วจากพรรคประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้ออกมาประกาศจุดยืน
“พรรคประชาชนขอประณามการสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยที่ร้ายแรง”
ล่าสุด “จตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาตอบโต้กลับพรรคเพื่อไทย ในกรณีดังกล่าว ยืนยันว่าคำปราศรัยของ“สนธิ” ไม่มีข้อความไหน กวักมือเรียกรัฐประหาร
เขายังย้ำว่า ตนและกลุ่มรวมพลังฯ ไม่เอารัฐประหาร และต่อต้านมาตลอด แต่เป็นฝั่งพรรคเพื่อไทย และพวกนักประชาธิปไตยปลิ้นปล้อน ที่ออกมาปั่นโจมตี ต้านการเปิดประตูให้รัฐประหารเสียเอง
ท่ามกลางสารพัดปัจจัยที่กำลังรายล้อม “รัฐบาลแพทองธาร” จนทำให้เดินหน้าต่อแบบทุลักทุเลในเวลานี้ ต้องจับตาไปที่“จุดตัด” การเมือง โดยสารพัดนิติสงครามซึ่งถูกมองว่า จะเป็นตัวแปรสำคัญไปสู่ “จุดพลิก”ทางการเมืองหลังจากนี้







