‘แพทองธาร’ลาก‘พท.’เรดโซน ผี‘รัฐประหาร’หลอน สกัดแนวร่วมม็อบ

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาล จะคืนสู่สถานะเดิมให้เร็วสุดอย่างไร และโจทย์ใหญ่ของเพื่อไทย จะเอาอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป “แพทองธาร”ยังจะเป็นตัวเลือกนายกฯ ที่ใช่อยู่หรือไม่ จุดนี้คือความท้าทายอย่างยิ่ง
KEY
POINTS
- ความนิยมของอิ๊งค์ ที่ตกต่ำอย่างหนัก กำลังส่งผลต่อกระแสของเพื่อไทย
- ท่ามกลางสมรสุมการเมืองรุมเร้า จากเอฟเฟกต์คลิปเสียงหลุดคุยอังเคิลฮุน เซน
- เกมผวารัฐประหาร ที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าเดิมออกมาเคลื่อนไหวขับไล่นายกฯ
- กลับหนีไม่พ้นคำครหาควักมือเรียกอำนาจนอกระบบหรือไม่อย่างไร
คลิปเสียงหลุดแพทองธาร ชินวัตร คุยฮุน เซน กลายเป็นตราบาปทางการเมือง ผูกติดตัวนายกฯ คนลูก แห่งตระกูลชินวัตรไปอีกนานเท่านาน ยากจะลบเลือน
ผลกระทบระยะสั้น จากเรื่องดังกล่าวสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล และลดทอนความเชื่อมั่นในตัวผู้นำจนแทบไม่เหลือ สะท้อนผ่านผลสำรวจของนิด้าโพล คะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2 ของปี 2568 ที่ออกมา ในจังหวะแพทองธารกำลังเจอมรสุม
เมื่อย้อนดู 2 ไตรมาสก่อน ความนิยมแพทองธาร อยู่ที่ 28.80% สูสีกับณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ 29.85% ก่อนจะขยับขึ้นในช่วงต้นปี 2568 สูงถึง 30.90% แซงนำเท้ง ที่ได้ 25.80%
ผลล่าสุด ความนิยมในตัวอุ๊งอิ๊งค์ ลดวูบเดียวหาย เหลือแค่ 9.20% เท่านั้น ตามหลังอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ได้ 9.64% ด้วยซ้ำ ทั้งที่เรตติ้งส่วนตัวของเสี่ยหนูใน 2 ครั้งก่อน มีอยู่แค่ 6.45% และ 2.85% ตามลำดับ
เรตติ้งของเพื่อไทย ก็หายไปเกินครึ่ง จากเคยยืนระดับ 27.70% และ 28.05% ตามลำดับ ล่าสุด เหลือแค่ 11.52% ตัวเลขตรงนี้ถ้าลองอนุมานคร่าวๆ อาจสัมพันธ์กับจำนวน สส. ก็นับว่าน่าตกใจสำหรับคนในค่ายสีแดง ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้
ในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามช่วงชิงโอกาสกดดันขับไล่แพทองธาร จากกระแสชาตินิยม โจมตีจุดอ่อนเรื่องผู้นำไร้ประสบการณ์ เสียเชิงกัมพูชา ตอนแรกก็ทำท่ามีโอกาสที่ม็อบจะจุดติดค่อนข้างสูง
การนัดชุมนุมใหญ่เมื่อ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็พอจะเห็นแกนนำ-แนวร่วม ประกอบด้วยใครกลุ่มไหน ส่วนใหญ่คือสายที่ต่อต้านทักษิณ ชินวัตร เป็นทุนเดิม และจนแล้วจนรอด ก็มีเสียงวิจารณ์ตามมา หลังแกนนำผู้ชุมนุมบางคน ประกาศไม่ขัดข้องหากจะมีการรัฐประหาร
กลายเป็นว่า สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนทันที เพราะน่าจะเสียโอกาสมากกว่า แทนที่ม็อบจะฟู ก็อาจจะฝ่อ ลดความชอบธรรมในการชุมนุมของตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ถึงแม้จะมีความพยายามอธิบายตามหลังว่า ไม่ได้สนับสนุนให้เกิดรัฐประหาร แต่อารมณ์ความรู้สึกผู้คนอาจเข้าใจเช่นนั้นไปแล้ว
เข้าทางรัฐบาล และเพื่อไทยในการพลิกสถานการณ์ จากโดนกดดัน ไล่ต้อน ก็มีความชอบธรรมขึ้นมาทันที ในการสวนหมัดคืนม็อบรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ขยี้ผีรัฐประหารให้สังคมผวา
ทว่า แกนนำม็อบบางคนก็หัวไว ฟาดกลับเพื่อไทยทันควัน ว่าเกลียดนักกับรัฐประหาร แต่ก็ไปจับมือกับคนที่เคยเป่านกหวีดเรียกรัฐประหาร
เงื่อนไข หรือเอฟเฟกต์ที่พันรัฐประหาร ก็อาจจะเข้าตัวทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะม็อบ กลายเป็นการปิดโอกาสตัวเองในการดึงมวลชนเข้ามาเสริมกำลัง จาก 2 แนวร่วมพรรคการเมืองที่ถูกจับตาอย่างมาก ว่าจะเคลื่อนไหวไปพร้อมกับคณะรวมพลังแผ่นดินฯ คือ พรรคประชาชน และภูมิใจไทย ซึ่งมีศักยภาพในการจัดตั้ง และระดมคนผ่านวิธีการต่างๆ ก็ยังไม่ปรากฎว่า ขยับอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ทางพรรคส้ม ส่งสัญญาณถึงแนวร่วม ต้องไม่ข้ามเส้น ไม่สื่อสาร หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ขัดหลักการประชาธิปไตย
ส่วนสีน้ำเงิน โฟกัสไปที่การเตรียมพร้อมเลือกตั้ง เพราะอาจจะประเมินแล้วหรือไม่ ว่าไม่จำเป็นต้องทุ่มทรัพยากรปลุกม็อบออกมาไล่แพทองธารในเวลานี้ เก็บของไว้ใช้ในเกมกาบัตรอาจคุ้มกว่า
นอกจากนี้ ทั้งยังมีกลเกมนิติสงคราม รุมเร้าผู้นำ จะออกหน้าไหนได้ลุ้นทั้งนั้น แถมมีกลไกในสภาฯ เอาไว้นวดรัฐบาลให้เพลี่ยงพล้ำ เปิดแผลใหม่ ขยี้แผลเก่าให้เน่าเฟะ ถึงรัฐบาลจะประคองตัวรอดมาได้ กระแสความนิยมก็คงฟื้นมาเหมือนเดิมไม่ง่าย ตรงนี้สีน้ำเงินก็อาจจะประเมินว่า ไม่ต้องรีบก็ได้
วิกฤติศรัทธาทางการเมืองของแพทองธาร และเพื่อไทย ตอนนี้เข้าขั้น“เรดโซน” อาการน่าเป็นห่วง ขนาดอยู่ในตำแหน่งที่มีทรัพยากรในการบริหารบ้านเมือง ที่สามารถสร้างความนิยมได้ แต่ดันไปทำอะไรๆ ให้พลิกผัน จนเรตติ้งดิ่งเกือบสุดซอยได้ขนาดนี้
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาล จะคืนสู่สถานะเดิมให้เร็วสุดอย่างไร และโจทย์ใหญ่ของเพื่อไทย จะเอาอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป “แพทองธาร”ยังจะเป็นตัวเลือกนายกฯ ที่ใช่อยู่หรือไม่ จุดนี้คือความท้าทายอย่างยิ่ง







