‘อิ๊งค์ 2’ กับ 4 อุปสรรค ระวัง ‘เสียงสำลักน้ำ’

‘อิ๊งค์ 2’ กับ 4 อุปสรรค ระวัง ‘เสียงสำลักน้ำ’

อุปสรรคเฉพาะหน้าของ "รัฐบาลอิ๊งค์ 2" ที่กำลังจะปรากฏโฉมอย่างเป็นทางการ ต้องบอกว่า “ไม่มีเวลาฮันนีมูน” เพราะรัฐบาลใหม่ แต่คนหน้าเก่าเกือบทั้งหมด ต้องเผชิญอุปสรรคใหญ่ 4 เรื่องด้วยกัน

KEY

POINTS

  • นิติสงคราม การพิจารณาคำร้องสอยนายกฯ สอยรัฐบาล โดยองค์กรอิสระ ขณะนี้มียื่นไว้ 4 ช่องทาง 4 แพลตฟอร์ม
  • เศรษฐกิจตกต่ำ แก้ยาก เรื่องนี้เป็น “เชือกรัดคอรัฐบาล”และรัฐบาลก็อยู่ในภาวะ “ขว้างงูไม่พ้นคอ”
  • แรงต้านนอกสภา โดยเฉพาะม็อบ ซึ่งเมื่อวันเสาร์ได้แสดงพลังให้เห็น เป็นประเดิมไปแล้ว
  • สถานะ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” เป็นสภาพการเมืองแปลกใหม่ของพรรคชินวัตร เพราะไม่เคยเผชิญมาก่อน 

มีคำถามเสมอเวลามี “ม็อบการเมือง” ก็คือ “ม็อบจุดติดหรือยัง? ” ครั้งนี้ก็เช่นกัน…

อดีตหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงระดับชาติท่านหนึ่ง ซึ่งผมเคารพมาก เคยบอกเอาไว้ว่า คำว่า “ม็อบจุดติด” ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า มี 2 ความหมายคือ

หนึ่ง “จุดติด” ในแง่การสร้างกระแสความไม่พอใจรัฐบาล หรือตัวผู้นำในหัวใจและความรู้สึกของประชาชน

ถ้าในความหมายนี้ สถานการณ์ปัจจุบันถือว่า “ม็อบจุดติดแล้ว” ดูจากผลสำรวจของโพล 2 สำนักล่าสุด ทั้งดุสิตโพล และนิด้าโพล ก็จะเห็นได้ชัด

สอง “จุดติด” ในแง่ของจำนวนมวลชนออกมาชุมนุมอย่างมหาศาล จนเกิดแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งจากรัฐบาลเอง หรือจากนิติสงคราม หรืออำนาจนอกระบบ

ถ้าในความหมายนี้ ถือว่า “ยังจุดไม่ติด” เพราะจำนวนมวลชนที่ออกมาชุมนุมยังไม่มากพอ ไม่สามารถจัดชุมนุมยืดเยื้อ หรือมีกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างแรงกดดันให้หนักขึ้นได้ ประกอบกับสถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอ แต่ก็มีความเสี่ยง “จุดติด” ในอนาคตอันใกล้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะหากรัฐบาลทำพลาดในเรื่องสำคัญซ้ำอีก

‘อิ๊งค์ 2’ กับ 4 อุปสรรค ระวัง ‘เสียงสำลักน้ำ’

แต่ถึงแม้ความนิยมของรัฐบาลจะตกต่ำลงมาก จากปัญหาต่างๆ ที่ปรากฏ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง และชายแดน โดยเฉพาะความขัดแย้งกับกัมพูชาที่ถูกนำไปผูกโยงกับความสัมพันธ์ของตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุน แต่การต่อต้านของประชาชน ถึงขั้นมีการชุมนุมใหญ่ระดับหมื่นคนขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนขยายผลเป็นหลักแสนนั้น ในระยะเฉพาะหน้ายังมีความเป็นไปได้น้อย สาเหตุเพราะ

‘อิ๊งค์ 2’ กับ 4 อุปสรรค ระวัง ‘เสียงสำลักน้ำ’

 - สถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการยุติธรรมยังดำเนินไปตามครรลองที่ชอบธรรม ไม่เป็นคุณกับอดีตนายกฯทักษิณ และนายกฯแพทองธาร

 - สถานการณ์ในสภาฯ มีความพยายามตรวจสอบจากพรรคฝ่ายค้านน้องใหม่อย่าง “ภูมิใจไทย” ทำให้กลไกสภาดูมีความหวัง

 - บทบาทของกองทัพ สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ไทยจะไม่เสียดินแดน หรือเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำกัมพูชา

ด้วยเหตุนี้ กระแสสังคมส่วนใหญ่จึงรอผลจากนิติสงคราม การตัดสินขององค์กรอิสระ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่ประชาชนจะให้บทเรียนกับพรรครัฐบาลในปัจจุบันทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย

อุปสรรคเฉพาะหน้าของรัฐบาลอิ๊งค์ 2 ที่กำลังจะปรากฏโฉมอย่างเป็นทางการ ต้องบอกว่า “ไม่มีเวลาฮันนีมูน” แม้แต่วินาทีเดียว

เพราะรัฐบาลใหม่ (แต่คนหน้าเก่าเกือบทั้งหมด) ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ 4 เรื่องด้วยกัน คือ

1.นิติสงคราม หมายถึงการพิจารณาคำร้องสอยนายกฯ สอยรัฐบาล โดยองค์กรอิสระ ขณะนี้มียื่นไว้ 4 ช่องทาง 4 แพลตฟอร์ม

 - แพลตฟอร์มอาญา ใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ความมั่นคงแห่งรัฐ มีกลุ่มนักวิชาการ อดีต สว.ตัวตึง ไปแจ้งความ แต่คดีลักษณะนี้ต้องต่อสู้กัน 3 ศาล ถือเป็นงานระยะยาว

 - แพลตฟอร์ม กกต. คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ว่านายกฯขาดคุณสมบัติ เพราะไม่ซื่อสัตย์สุจริต ถือเป็นงานระยะยาวเช่นกัน และคาดว่า กกต.จะรอศาลรัฐธรรมนูญชี้มูลก่อน

 - แพลตฟอร์ม ป.ป.ช. คุณศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ว่านายกฯขาดคุณสมบัติ เพราะไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ละเมิดมาตรฐานจริยธรรม ช่องทางนี้ ป.ป.ช.ทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน และสรุปสำนวนส่งศาลฎีกา ถือว่าใช้เวลาพอสมควร หากศาลฎีการับ จึงจะหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติ

 - แพลตฟอร์มศาลรัฐธรรมนูญ สว.ยื่นคำร้อง ข้อหาเดียวกับ กกต. และ ป.ป.ช. ช่องทางนี้เร็วที่สุด วันที่ 1 ก.ค. คือวันพรุ่งนี้ อาจเห็นหน้าเห็นหลัง

นี่คืออุปสรรคว่าด้วย “นิติสงคราม” ที่รอคิว และเชื่อว่านายกฯอยู่ไม่เป็นสุขแน่ รวมทั้งอาจต้องลงจากตำแหน่งก่อนเวลา (ถ้าโชคร้ายสุดๆ วันที่ 1 ก.ค.นี้ อาจเป็นวันสุดท้ายที่นายกฯจะได้ทำงานในฐานะผู้นำประเทศ คือโดนสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อน แล้วตามด้วยวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง แม้ความเป็นไปได้ยังค่อนข้างน้อยก็ตาม)

2.เศรษฐกิจตกต่ำ แก้ยาก เรื่องนี้เป็น “เชือกรัดคอรัฐบาล”และรัฐบาลก็อยู่ในภาวะ “ขว้างงูไม่พ้นคอ” เนื่องจากหาเสียงเอาไว้เยอะว่าเก่งแก้เศรษฐกิจ แต่พอมาเจอของจริง กลับทำอะไรไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาถึง 2 ปีแล้ว

3.แรงต้านนอกสภา โดยเฉพาะม็อบ ซึ่งเมื่อวันเสาร์ได้แสดงพลังให้เห็นเป็นประเดิมไปแล้ว

4.เสียงสนับสนุนปริ่มน้ำ มาจากการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง ทำให้รัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างเป็นทางการไม่ถึง 10 เสียง ไม่นับงูเห่า และ สส.กล้าธรรมที่แฝงตัวอยู่ในพรรคอื่น

การอยู่ในสถานะ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” เป็นสภาพการเมืองแปลกใหม่ของพรรคชินวัตร เพราะไม่เคยเผชิญมาก่อน ปกติเคยแต่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก “แบบล้นเกิน” บางครั้งพรรคตัวเองก็ชนะแบบแลนด์สไลด์มาด้วย

แต่ครั้งนี้มีพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า 10 พรรค และยิ่งเสียงปริ่มน้ำ ทุกเสียงย่อมมีความสำคัญ และขู่ถอนตัว ขู่กรรโชก ขู่เขย่า กันได้ทุกวัน เรียกว่า เป็น“เสียงสำลักน้ำ” ไม่ใช่แค่ปริ่มน้ำ และจมน้ำตายได้ทุกเมื่อ

ล่าสุดคือกรณีของ รวมไทยสร้างชาติ... ปัญหาของพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องบอกว่าเป็นตัวอย่างของความปวดหัว ที่จะเกิดตามมาไม่หยุด จากสถานการณ์ “รัฐบาลปริ่มน้ำ”

 - ปัญหาของพรรคนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดมาแล้ว และขู่มาแล้วหลายครั้ง

 - ก่อนหน้านี้ ตอน “เสี่ยเฮ้ง” ไม่ได้ขยับตำแหน่ง ก็ขู่ถอนตัว โดยอ้างเสียง “18 อรหันต์”

 - ก่อนหน้านั้นอีก ตอนมีปัญหาคลิปเสียงฮุน เซน “หัวหน้าพี” และแกนนำพรรคสาย “หัวหน้าพี - เลขาฯขิง” ก็ใช้เรื่องนี้ในการยืนยัน ขอคำมั่นให้นั่งตำแหน่งเดิม คือ กระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอ ทั้งพลังงาน และอุตสาหกรรม

‘อิ๊งค์ 2’ กับ 4 อุปสรรค ระวัง ‘เสียงสำลักน้ำ’

 - ปัญหานี้จึงไม่จบง่าย เป็น “ยาดำ” ในรัฐบาลต่อไป ในสภาพ...การเมืองที่ควบคุมด้วยเสียงข้างน้อย (พรรคเล็กมีอำนาจต่อรองเหนือพรรคใหญ่ หรือพรรคแกนนำ) ทำให้เกิดภาวะ “น่าอึดอัดทางการเมือง”

ที่สำคัญเสียงสนับสนุนของรัฐบาลยังไม่นิ่ง โดยเฉพาะเสียงของพรรคเพื่อไทย 142 สส. เพราะเพิ่งมี สส.ท่านหนึ่ง เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว คือ สส.อมรเทพ สมหมาย สส.ศรีสะเกษ หลังจากนี้ต้องจัดเลือกตั้งซ่อม โดยศรีสะเกษเป็นพื้นที่อีสานใต้ หากพ่ายให้กับภูมิใจไทย จะยิ่งตอกย้ำ “ขาลงรัฐบาล”

นอกจากนั้นยังมี สส.ในพรรคเพื่อไทยบางคนไม่ยอมโหวตหนุนรัฐบาล คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และไม่ยอมลาออกจากพรรคด้วย

 - เสียงสนับสนุนรัฐบาลจากพรรคอื่นก็ยังไม่นิ่ง อย่างเช่น รวมไทยสร้างชาติ ยังมีปัญหากลุ่ม สส.ประชาธิปัตย์เก่าที่ใกล้ชิดหัวหน้าพี และเคยเสนอให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อาจแปรพักตร์ไปหนุนฝ่ายค้านได้ กลุ่มนี้มี 2- 4 เสียง เช่น คุณจุติ ไกรฤกษ์ คุณวิทยา แก้วภราดัย

รวมไทยสร้างชาติ ยังมีกลุ่ม สส.ชุมพร ที่เคยจัดชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯลาออก น่าคิดว่าในอนาคตเสี่ยงแปรพักตร์หรือไม่ เพราะมีข่าวว่า ไม่ได้มองอนาคตร่วมกับพรรคสีธงชาติอีกต่อไปแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มปูชนียบุคคล 4 เสียง ไม่สนับสนุนให้ร่วมรัฐบาลตั้งแต่ต้น

ฉะนั้น แม้รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้ แต่ก็ต้องอาศัยเสียง “งูเห่า” ทั้ง “งูเห่าเปิดเผย” และ “งูเห่าอีแอบ”

เมื่อมี “งูเห่า” ก็ต้องมี “แจกกล้วย”ตามมา อย่าลืมว่า“แจกกล้วย”แล้วไม่ได้จบ เพราะข่าวกระฉ่อนแจกกล้วยในสภาฯชุดที่แล้ว

ล่าสุด ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการไต่สวน สส.และอดีต สส. 46 คน ที่เกี่ยวข้องถูกกล่าวหา “รับกล้วย”

นี่คือวังวนการเมืองไทยที่ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน แต่ยังย่ำอยู่ที่เดิม แม้จะมีรัฐบาลใหม่ แต่คนส่วนใหญ่หน้าเดิม เพิ่มเติมคือความเสี่ยงเรื่อง “เสียงสำลักน้ำ - นิติสงคราม”

นำมาซึ่ง “รัฐบาลอายุสั้น-ไร้เสถียรภาพ” นั่นเอง!