'อนุรักษ์นิยม' รีเทิร์นจาก 'ม็อบ 48' สู่ 'ม็อบ 68'

20 ปีผ่านไป “สนธิ” ขึ้นเวทีม็อบ 68 ไล่ลูกสาวทักษิณ “จตุพร” พลิกบทจากแดงก้าวหน้า สู่อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม
เหมือนฉายหนังม้วนเก่า ทักษิณขายหุ้น 7 หมื่นล้าน จุดไฟม็อบ 48 แพทองธารติดกับดัก คลิปลุง-หลาน ปลุกม็อบ 68 ส่อซ้ำรอยเดิม
หลังชัยชนะของพรรคก้าวไกล และความถดถอยของพรรค 2 ลุง ในสมรภูมิเลือกตั้งปี 2566 ส่งผลให้ชนชั้นนำตกอกตกใจในพลังเสรีนิยมก้าวหน้า จึงเกิดมีดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เพื่อสกัดการเติบใหญ่ของพรรคสีส้ม
สองปีที่ผ่านมา มีการชุมนุมต้านระบอบชินวัตรอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากนัก กระทั่งมีการปรามาสว่า พลังอนุรักษ์นิยมตายแล้ว
เมื่อเกิดสถานการณ์ความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ตามมาด้วยคลิปเสียงสนทนา ระหว่างแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีเนื้อหาเหมือนยอมอ่อนข้อให้กัมพูชา และลดทอนเกียรติภูมิของกองทัพไทย
คลิปเสียงดังกล่าว กลายเป็นเชื้อไฟปลุกกระแสชาตินิยม และการไม่ยอมรับวุฒิภาวะการเป็นนายกฯ ของแพทองธาร
วันเสาร์ที่ 28 มิ.ย. 2568 มีการชุมนุมใหญ่ “รวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตยไทย” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมาก
กลุ่มคณะผู้จัดกิจกรรมรวมพลังแผ่นดิน ประมาณ 40 คน ล้วนผ่านสมรภูมิท้องถนนมาแล้ว ทั้งในปี 2548-2549 ปี 2552-2553 และปี 2556-2557 พวกเขาเคยสวมเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเป่านกหวีด
อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์กิจกรรมรวมพลังแผ่นดิน ก็อยู่ที่การขึ้นเวทีปราศรัยร่วมกันครั้งแรกของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ปรึกษามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และ “จตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน
สนธิ กล่าวตอนหนึ่งว่า “ถ้าเราไม่จำประวัติศาสตร์ เราจะต้องถูกซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ผมไม่เคยคิด 20 ปีที่แล้ว ผมขึ้นมาบนเวที พูดกับพี่น้องประชาชนเพื่อไล่ทักษิณ มาถึงวันนี้ 20 ปีให้หลัง มาถึงยุคที่ผมต้องมาไล่ลูกสาวเขา การชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าจำเป็นในอนาคตที่เราต้องลงถนน แล้วเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองนี้ เอาหรือไม่เอา”
ส่วน จตุพร ที่ขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้าย ได้ส่งสัญญาณนัดหมายการชุมนุมในครั้งต่อไป “เราจะชุมนุมกันอีกเมื่อไหร่นั้น ถ้าศาลรัฐธรรมนูญสั่งแพทองธารยุติปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังไม่สํานึก และพร้อมจะทําชั่วต่อไป เราจะประกาศยกระดับไม่เรียกร้องลาออก ให้ถอนตัว แต่จะขับไล่สถานเดียว ไล่ทั้งเรือ ทั้งโจร ทั้งพายเลย”
จากนี้ไป ก็ต้องจับตาดูว่า กลุ่มคณะผู้จัดกิจกรรมรวมพลังแผ่นดิน จะขยับเรือธงลำใหม่ชื่ออะไร ในการเคลื่อนมวลชนลงท้องถนนขับไล่รัฐบาลแพทองธาร
ธงนำยามเฝ้าแผ่นดิน
เหมือนเรื่องบังเอิญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พ.ค.2568 สนธิ ลิ้มทองกุล ได้จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ครั้งที่ 2/2568 ที่หอประชุมเล็ก (ศรีบูรพา) ธรรมศาสตร์
วันนั้น สนธิ ได้เชิญ จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ไปขึ้นเวทีเปิดแคมเปญระดมสมาชิกยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อทวงความถูกต้องให้คนไทย ให้ได้ 1 ล้านคน ภายในเวลา 3 ปี
กิจกรรมนี้ เป็นของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่มี ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ เป็นประธาน โดยมี จตุพร พรหมพันธุ์ และ “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ มาร่วมงานด้วย
ถัดมาจากนั้น เกิดเสียงปืนแตกที่ช่องบก ปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ตามมาด้วยคลิปเสียงหลาน-ลุง จึงทำให้สนธิ ปานเทพ จตุพร และทนายนกเขา ตัดสินใจร่วมกันจัดกิจกรรมรวมพลังแผ่นดิน
ด้วยเหตุที่สนธิ-จตุพร ต่างมีภารกิจร่วมกันในนามมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน จึงใช้องค์กรนี้เป็นแม่งานใหญ่ สำหรับจัดการรวมพลมวลชนปีกอนุรักษ์ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี นับแต่การชุมนุมของ กปปส.เมื่อปี 2557
บทเรียนม็อบ 49
การเคลื่อนไหวของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นั้น มีจุดเริ่มต้นที่การเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ ของสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ในเดือน ก.ย.2548
หลังขายหุ้นมูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท ในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทชินคอร์เปอเรชั่น ได้กลายเป็นเชื้อไฟไม่พอใจตระกูลชินวัตร สนธิจึงจัดการชุมนุมใหญ่ 4 ก.พ.2549 ภายใต้ภารกิจกู้ชาติ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และมีการเดินขบวนไปถวายฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจ
ถัดมา กลุ่มเอ็นจีโอ-นักเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้เข้ามาร่วมกับสนธิ กลายเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
จากนั้น มีการเคลื่อนไหวขับไล่อย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ รวมทั้งการไม่ยอมรับการเลือกตั้งจากพันธมิตรฯ การบอยคอตเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้าน ประสานกับตุลาการภิวัฒน์ ที่สั่งให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 เป็นโมฆะ
ในที่สุด การเมืองในระบบถูกบีบให้เข้าสู่ทางตัน และนำไปสู่การหาทางออกโดย “กองทัพภิวัฒน์” นั่นคือการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
จากแดงทักษิณสู่ปีกอนุรักษ์
การเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ปลายปี 2563 น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร ตัดขาดจตุพร พรหมพันธุ์ หลังอดีตประธาน นปช.ไปหาเสียงช่วยฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย
หลังจากนั้น จตุพรกลับไปหาเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ร่วมอุดมการณ์กันมาแต่ครั้งสมรภูมิท้องถนนเดือนพฤษภาคม 2535
ปี 2565 จตุพรโคจรไปพบกับ “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ อดีตแกนนำ คปท. ก่อรูปขบวนการใหม่ในนามคณะหลอมรวมประชาชน จัดกิจกรรมหยุด 8 ปีประยุทธ์ ก่อนจะเคลื่อนพลบุกทำเนียบรัฐบาล
ทนายนกเขา-จตุพร พูดเหมือนกันคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนกับสถาบันมากที่สุด และหาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถปกป้องสถาบันได้ ก็ไม่ควรจะอยู่ต่อไป
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ ตู่ จตุพร อดีตประธาน นปช. สู่การเป็นนักเคลื่อนไหวอนุรักษ์นิยม เหมือนทนายนกเขา
ปี 2567 ทนายนกเขา และตู่ จตุพร ได้ส่งคนสนิท พิชิต ไชยมงคล และ นัสเซอร์ ยีหมะ ในนามเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ร่วมกับกองทัพธรรมจัดการชุมนุม Saveกระบวนการยุติธรรม กรณีทักษิณ ชินวัตร ไม่อยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว มาตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล
จวบจนวันนี้ คปท. และกองทัพธรรม ยังชุมนุมปักหลัก ขับไล่แพทองธาร แต่มีมวลชนเข้าร่วมน้อยมาก ทำให้มีเสียงปรามาสว่า ขวาสุดโต่งแบบคนเสื้อเหลืองในอดีตนั้น ได้อ่อนแรงลงไปแล้ว
ดังนั้น กิจกรรมรวมพลังแผ่นดินที่อนุสาวรีย์ชัยฯ จึงเป็นการรีเทิร์นของพลังอนุรักษ์นิยม และจะไปต่อได้ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ “กระแส” ความไม่พอใจตระกูลชินวัตร บวกกลยุทธ์การขับเคลื่อนมวลชนของสนธิและจตุพร






