จับตา! เก้าอี้นายกฯอุ๊งอิ๊ง 'หลุด-รอด' อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

จับตา! เก้าอี้นายกฯอุ๊งอิ๊ง 'หลุด-รอด' อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ท่ามกลางกระแสกดดันรอบด้าน แต่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ยังคงไม่ยอม “ลาออก” หรือ “ยุบสภา” ตามที่มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่าย

กรณีคลิปสนทนาส่วนตัวกับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา ส่อไปในทางยอมอ่อนข้อให้ฮุน เซน เปิดเผยความลับทางราชการ และพูดถึง “แม่ทัพภาคที่ 2” ว่า “เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม” จนทำให้คนไทยหมดความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่จะให้เป็นนายกฯต่อไป

นี่ยังไม่รวม เดี่ยวไมโครโฟนระลอกใหม่ล่าสุด พร้อมกับคำขู่จะเปิดเผย “ความลับ” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ตัวเองมี “คลิปสนทนา” เช่นกัน ซึ่งหลายคนใจจดใจจ่อรอฟังว่าจะเป็นอะไร ใช่สิ่งที่เคยมีคนนำมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่ก่อนหรือไม่ หรือลึกซึ้งกว่านั้น แต่แค่นี้ ก็ทำเอาตระกูลชินวัตร ซวนเซไปกับลมปากของฮุนเซนได้ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่ฮุนเซน ทิ้งบอมบ์ตระกูลชินวัตรอย่างไม่ปรานีปราศรัย และพร้อมแตกหักสายสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน ไม่ได้สั่นสะเทือนแต่เฉพาะสองตระกูลผู้นำในสองประเทศเท่านั้น หากแต่ฝั่งไทย ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูงอยู่แล้ว จึงถูกขยายผลอย่างกวางขวาง ที่รัฐบาลจะต้องรับมือ

ที่สำคัญคือ ความขัดแย้งภายในรัฐบาล ที่ “ทักษิณ” และ “อุ๊งอิ๊งแพทองธาร ต้องการกระทรวงมหาดไทย กลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่พรรคภูมิใจไทย ไม่ยอม และเมื่อมีกรณีคลิปหลุด “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ออกมา “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ประกาศถอนตัวจากรัฐบาลและนำทีมรัฐมนตรี ลาออกทันควัน ทำให้รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” จะต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ปรับครม.) เพื่อแก้ปัญหารัฐบาล

ส่วนนอกสภาฯ “ตู่จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ประกาศจับมือกับ สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อเคลื่อนไหวต่อประเด็นต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” อยู่แล้ว โดยเฉพาะ กรณี MOU 44 เพื่อแก้ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่พวกเขาเห็นว่าจะนำไปสู่การเสียดินแดนเกาะกูด ทั้งเชื่อว่ามีการเจรจาผลประโยชน์พลังงานในพื้นที่ทับซ้อนเอาไว้แล้ว

และการออกกฎหมาย “กาสิโน” หรือ ร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันเข้าสภาฯ เมื่อมีกรณีคลิปหลุดของ “อุ๊งอิ๊ง” กับฮุนเซนออกมา ยิ่งทำให้มั่นใจว่า ผู้นำสองตระกูลในสองประเทศ มีผลประโยชน์ร่วมกัน ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้มั่นใจว่า โอกาสทองเปิดให้แล้ว ที่จะเคลื่อนไหวขับไล่ “อุ๊งอิ๊ง” เพราะมีกระแสสื่อมวลชน ในโลกโซเชียล และประชาชน ขานรับอย่างร้อนแรง จึงนำมาสู่การนัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ทั้งยังคาดว่า จะมีคนเข้าร่วมจำนวนมหาศาลเป็นประวัติการณ์

กระนั้น ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การกดดันด้วยการถอนตัวจากรัฐบาล“อุ๊งอิ๊ง” ของพรรคภูมิใจไทย 69 เสียง เพียงพอที่จะหยุดการไปต่อของรัฐบาลหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือ ยังมีเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร เกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมด แม้ว่าจะค่อนข้างปริ่มน้ำ ซึ่งในการเมืองไทย ตัวช่วยอย่าง “ส.ส.งูเห่า” ก็มีไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเดินหน้าปรับครม. เพื่อเกลี่ยกระทรวงที่อยู่ในมือของพรรคภูมิใจไทย ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ถอนตัว คาดว่าไม่ช้าก็จะได้เห็นโฉมหน้าออกมาแล้ว

นั่นแสดงว่า แรงกดดันจากการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ไม่เป็นผล และเสียเปล่าในเกมการเมือง

 ส่วนการชุมนุมนอกสภาฯ หรือ ม็อบใหญ่ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อให้มีจำนวนมหาศาล นักวิเคราะห์การเมืองต่างเชื่อว่า จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ของ“อุ๊งอิ๊ง”น.ส.แพทองธาร เพราะถ้าจะตัดสินใจลาออกหรือยุบสภา สง่างามที่สุด คือ การ “ยอมรับผิด” ไม่ใช่เพราะม็อบกดดัน

ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลุดจากตำแหน่งนายกฯได้ ก็คือศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

อย่าลืมประโยคที่ว่า “ดิฉันเองก็ไม่ได้อะไร และไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหาย” คือ บทสรุปที่ “อุ๊งอิ๊ง” ยึดถือเป็นแนวทางในการตัดสินใจครั้งนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดโฟกัสสำคัญ ที่จะเป็นตัวชี้ชะตา “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ว่า “หลุด” จากตำแหน่ง หรือ “รอด” พ้นจากการหลุดจากตำแหน่ง ก็คือ กระบวนการเอาผิดตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ที่มีผู้ร้องและยื่นเรื่องเอาไว้แล้ว

 เริ่มจาก การยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ของประธานวุฒิสภา มีสาระสำคัญ 2 ข้อ คือ

 1. ให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)

2. ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า "ผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับประธานวุฒิสภากัมพูชาในลักษณะเป็นภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ดังนั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้ที่จะถึง ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง" จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการเป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

 นอกจากนี้ ส.ว. จำนวน 34 คน ยังยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนและดำเนินการกับ น.ส.แพทองธาร โดยใช้ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เอกสารประกอบการพิจารณาชุดเดียวกัน

โดยบรรยายข้อกล่าวหาว่า น.ส.แพทองธาร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์, ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย, ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

โดยคณะ ส.ว. ขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ 2 ข้อ ดังนี้

 1. ไต่สวนและดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกา และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และดำเนินคดีอาญาฐานความผิดต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินคดีอื่นใดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับผู้ถูกกล่าวหาและผู้อื่นที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ต่อไป

 2. ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราวไว้ก่อน จนกว่าจะปรากฏการไต่สวนของ ป.ป.ช. ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอาณาเขตไทย อำนาจอธิปไตยของชาติ และความเสียหายต่อผลประโยชน์อื่นของประเทศชาติและประชาชน

ไม่เพียงเท่านั้น นายสมชาย แสวงการ อดีตส.ว. และแนวร่วมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "รวมพลังแผ่นดิน" ก็ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.แพทองธาร ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) กล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120, 122, 128 และ 129

รวมถึงมีผู้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบในกรณีเดียวกันด้วย

 ทั้งหมด คือ กระบวนการตามกฎหมาย ที่ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร จะต้องเจออย่างไม่มีทางหลีกพ้น ส่วนจะรอดพ้นข้อกล่าวหาหรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน วิเคราะห์เอาไว้บางช่วงบางตอน ถึงกรณีคลิปหลุดและผลกระทบทางการเมืองว่า

...กรณีประกาศถอนตัวร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ไปเป็นฝ่ายแค้น ชิงธงนำมีมติยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 เป็นกลไกรัฐธรรมนูญ สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ เพราะคำว่า “ให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง”ตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญให้ถือตามวงรอบเวลาของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ถือตามรอบปีปฏิทิน โดยสามารถกระทำได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 วรรคหนึ่ง แม้จะเคยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรายบุคคล ในเดือนมีนาคม 2568 มาแล้วก็ตาม

เขากล่าวต่อว่า ในมิติด้านกฎหมายจะต้องใช้เสียงจำนวน 1 ใน 5 ของ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา ปัจจุบัน 495 คน จะต้องใช้เสียงสนับสนุนและลงชื่อในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจำนวน 99 คน พรรคภูมิใจไทย มี ส.ส.69 คน ขาดไป 30 คน แม้พรรคพลังประชารัฐจะเติม ก็ไม่ครบตามเงื่อนไข หากเติมเสียงฝ่ายค้าน ครบเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ย่อมใช้ช่องทางนี้ ตรวจสอบคณะรัฐมนตรีทั้งคณะหรือรายบุคคล โดยยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะหรือรายบุคคลได้ตาม มาตรา 151 เมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรรับบรรจุตามข้อบังคับการประชุมแล้ว ผลทางกฎหมาย นางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี ไม่อาจยุบสภาได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสอง

 แต่มิติทางการเมือง กลไกรัฐธรรมนูญห้ามนายกรัฐมนตรียุบสภา แม้ไม่ห้ามลาออก แต่เทคนิคช่องทางนี้ ส่งผลให้ต่อลมหายใจฝ่ายรัฐบาล

“ดร.ณัฏฐ์” กล่าวด้วยว่า ในแง่สมการคณิตศาสตร์ทางการเมือง ฝ่ายรัฐบาลรวบรวมเสียงและคุมเสียงข้างมากเด็ดขาด แถมมีงูเห่าฝากเลี้ยง การใช้ช่องทางนี้ มีโอกาสล้มรัฐบาลได้น้อย เพราะการใช้กลไกรัฐธรรมนูญ วัดกันที่เสียงฝ่ายค้าน ต้องใช้เสียงไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสี่

 อีกอย่าง ย่อมมีผลต่อการชุมนุมภาคประชาชน ที่ประเดิมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะข้อเรียกร้องพุ่งเป้าไปที่น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ โดยให้ลาออก-ยุบสภา ทำให้โอกาสจุดติด ลุกลามไปทั่วภูมิภาคของประเทศอยู่ในระดับน้อย

 “เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะเกมของฝ่ายแค้นในสภา กับเกมการเรียกร้องของภาคประชาชนไม่ว่าจะใช้ชื่อกลุ่มอะไร เป็นความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ แม้ต่างฝ่ายอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เกมแห่งอำนาจ เข้าลักษณะ สุภาษิตไทยที่ว่า ปากว่าตาขยิบ” ดร.ณัฏฐ์ กล่าวและว่าการต่อท่อลมหายใจให้รัฐบาล ของฝ่ายแค้น ส่งผลให้แกนนำชุมชนตั้งเป้าประสงค์ ใช้โมเดล ควักมือให้ทหารเข้ายึดอำนาจ ดังในปี 2549 และปี 2557 ย่อมไม่สัมพันธ์กันในเชิงอำนาจ และโอกาสจุดติดในระดับน้อย แม้นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช.จะเปลี่ยนอุดมการณ์ชั่วคราวแล้วหันมาจับมือ ผนึกกำลังกันก็ตาม

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้อีกว่า กลไกรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับโมเดลปรับครม. นายกฯควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการสวมหมวก 2 ใบ ระหว่าง สถานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นฝ่ายบริหาร และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

เป็นเทคนิครองรับกลเกมนิติสงคราม เป็นกลเกมแห่งอำนาจ หากพลาดท่า กรณีการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นางสาวแพทองธาร อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญรับคดีและมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังสวมหมวกรัฐมนตรีอีกใบ แม้ศาลสั่งห้ามทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพียงชั่วคราว แต่รัฐธรรมนูญไม่ห้ามทำหน้าที่รัฐมนตรีที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่...

สรุปความเห็นของ “ดร.ณัฏฐ์” โอกาสที่เสี่ยงหลุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “อุ๊งอิ๊ง” ก็มีแค่ผลการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไรเท่านั้น

โดยถ้าผลการประชุมในวันที่ 1 กรกฎาคม ศาลฯมีมติรับเรื่องเอาไว้และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ก็ยังมีอำนาจหน้าที่รมว.วัฒนธรรมรองรับ ไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่สุด แล้วก็ไปลุ้นสุดท้ายว่า จะลงเอยอย่างไร “หลุด” หรือ “รอด” และถึงกระนั้น ยังมีคำถามว่า จะรอดไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะยังมีคดีอยู่กับอีกหลายองค์กร? แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าไม่รอด ก็ยังมีเวลายื้อลมหายใจได้พอสมควร หรือไม่จริง?