พท.นับหนึ่งลุยนโยบายเรือธง พับแผน 2 นโยบายกู้เศรษฐกิจ‘นายใหญ่’

พท.นับหนึ่งลุยนโยบายเรือธง พับแผน 2 นโยบายกู้เศรษฐกิจ‘นายใหญ่’

พท.นับหนึ่งลุย‘นโยบาย’เรือธง พับแผน 2 นโยบายกู้เศรษฐกิจ‘นายใหญ่’ ดันวาระหาเสียง ฟื้นเรตติ้ง รื้อ-โละนโยบาย‘สีน้ำเงิน’

KEY

POINTS

  • “เพื่อไทย” ได้รับคำยืนยันจาก “พรรคร่วมรัฐบาล”ว่า สามารถดูด สส.งูเห่า ทั้งในรูปแบบย้ายสังกัด และฝากเลี้ยงเอาไว้ มีการนับจำนวนการันตีกันที่ 270-275 เสียง
  • เมื่อเสียงในสภาฯสามารถค้ำยัน "รัฐบาลแพทองธาร" ได้ การเดินหน้านโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้จึงต้องดำเนินการทันที
  • นโยบาย "เรือธง" อย่างสถาบันเทิงครบวงจร - โครงการแลนด์บริดจ์ อาจจะต้องพับแผนไปก่อน เพื่อเดินหน้านโยบายหาเสียง

เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งนำโดย นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ลดน้อยลงทันที หลังปฏิบัติการยึดกระทรวงมหาดไทย จนเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ “พรรคภูมิใจไทย” ชิงจังหวะคลิปเสียง “ฮุน เซน” ประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล

เนื่องจาก “ภูมิใจไทย” มี 69 เสียงในสภาฯ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง จากที่เสียงของ “ขั้วรัฐบาล” อยู่ที่ 324 เสียง ลดลงเหลือเพียง 255 เสียง เกินกึ่งหนึ่ง 248 เสียง มาเพียง 7 เสียง ทำให้การบริหารเสียงในสภาฯเป็นด้วยความยากลำบาก

แม้บรรดา “พรรคร่วมรัฐบาล” จะพยายามเปิดดีลรวบรวมเสียงจาก สส.พรรคฝ่ายค้าน รวมถึงปฏิบัติการลับดีล สส.สีน้ำเงิน เพื่อเจาะกล่องดวงใจ “ภูมิใจไทย” แต่ยังไม่มี สส.ขั้วฝ่ายค้าน เปิดตัว - เปิดหน้า แปรพักตร์มาอยู่ “ขั้วรัฐบาล”

อย่างไรก็ตาม “เพื่อไทย” ได้รับคำยืนยันจาก “พรรคร่วมรัฐบาล”ว่า สามารถดูด สส.งูเห่า ทั้งในรูปแบบย้ายสังกัด และฝากเลี้ยงเอาไว้ โดยจะ “ซื้อโหวต”ในวาระสำคัญเท่านั้น โดยมีการนับจำนวนการันตีกันที่ 270-275 เสียง

เมื่อ “ขั้วรัฐบาล” มั่นใจว่าจำนวนเสียง สส.แม้จะปริ่มน้ำ แต่มีเพียงพอในการประคับประคองให้ “รัฐบาลแพทองธาร”ไปต่อ เพื่อสร้างผลงานเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า

หลังเสร็จสิ้นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือน ก.ค. ก่อนจะเป็นสมัยประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. อาจจะได้เห็นภาพการเร่งสปีดงานของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะการสานงานตามนโยบายหลักของ “เพื่อไทย” ที่ได้หาเสียงเอาไว้ในช่วงการเลือกตั้งปี 2566 อาจจะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาคำมั่นสัญญา เพราะที่ผ่านมาจุดเด่นของ “เพื่อไทย” สามารถทำได้ทุกนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้

ภารกิจ ครม.ใหม่ เร่งดันผลงาน

การประชุมครม.เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. “แพทองธาร” มีข้อสังการด้านนโยบายในหลายมิติ ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าทันทีเมื่อได้ “ครม.ชุดใหม่”

สำหรับ 7 ข้อสั่งการ “แพทองธาร” ประกอบด้วย 1. ปัญหาด้านภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรม ข้ามประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

2. ปัญหาด้านความมั่นคงพลังงานมอบให้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ รมว.พลังงาน กำหนดมาตรการเตรียมพร้อมรับมือสำหรับพลังงานสำรอง และมาตรการช่วยเหลือประชาชน หากมีภาวะขาดแคลนหรือมีราคาที่สูงขึ้น

3. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และการเงิน การแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน มอบหมายให้ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ รมว.คลัง เป็นผู้รับผิดชอบ หารือหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน กำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจน

4. ปัญหาราคาพืชผลเกษตรมอบ “พิชัย” หารือ “กระทรวงพาณิชย์ - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยเฉพาะราคาข้าว ที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาแก่เกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

รวมถึงปัญหาการลักลอบนำเข้า สินค้าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ราคาพืชผลเกษตรภายในประเทศตกต่ำโดยขอให้กรมศุลกากร สรุปปัญหา และมาตรการในการแก้ไขปัญหามาเสนอ พร้อมกับมาตรการยกระดับราคาพืชผลเกษตรภายในสัปดาห์หน้า

บูรณาการทุกหน่วย ปราบยาเสพติด

5. ปัญหายาเสพติดมอบ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ รมว.กลาโหม เตรียมจัดการประชุมด่วนระหว่าง นายกฯ - ผู้ว่าราชการจังหวัด - ผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด เพื่อมอบนโยบายและกำชับมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ขยายผลต่อเนื่องจากมาตรการ Seal Stop Safe ภายในสัปดาห์หน้านี้

ต้องยอมรับว่านโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นหมุดหมายที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ต้องการเร่งดำเนินการให้เห็นผลรวดเร็วที่สุด เนื่องจาก “สส.เพื่อไทย” ได้รับการสะท้อนมาจากประชาชนในพื้นที่

6. ปัญหาการท่องเที่ยว มอบ “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เร่งปรับมาตรการกระตุ้น ท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มาเสนอภายในสัปดาห์หน้า

เร่งขึ้นค่าแรง เป้า 600 บาทต่อวัน

7. ปัญหาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ มอบให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นำมาพิจารณาใน ครม. สัปดาห์หน้า เพื่อให้ทันขึ้นค่าแรงในช่วงต้นเดือน ก.ค. นี้

“เพื่อไทย” ต้องการสานฝันให้นโยบาย “ขึ้นค่าแรง” เกิดขึ้นให้ได้ โดยเบื้องต้นจะขึ้นเป็นขั้นบันได โดยมีเป้าหมายให้ถึง 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 ตามที่ได้หาเสียงเอาไว้

ก่อนหน้านี้ “กระทรวงแรงงาน” ไม่ได้อยู่ในความดูแลของ “เพื่อไทย” ทำให้การขึ้นค่าแรงแบบขั้นบันไดไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เมื่อยึด “กระทรวงแรงงาน” มาได้ จึงต้องเร่งดันนโยบายขึ้นค่าแรงทันที

ขณะเดียวกัน ต้องจับตานโยบายหลักของ “เพื่อไทย” ที่จะต้องเร่งดำเนินการ อาทิ เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท รถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย และแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ

พับแผน 2 นโยบาย “เรือธง”

สำหรับนโยบาย “เรือธง” ที่ไม่ได้อยู่ในนโยบายหาเสียงของ “เพื่อไทย” แต่ถูกจุดพลุมาจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยหวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศไทย 

โฟกัสหลักอยู่ที่นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งพ่วง “กาสิโน” เข้าไปด้วย อาจจะต้องพับแผนไว้ก่อน แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกบรรจุในวาระการพิจารณาของสภาฯแล้ว แต่เมื่อเช็คเสียงหนุนจาก “ขั้วพรรคร่วมรัฐบาล” อาจจะมีไม่เพียงพอ แถมยังต้องติดบ่วงการพิจารณาของ สว. ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะล่าช้าออกไป

เช่นเดียวกับโครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน เพื่อร่นระยะเวลาการขนส่งให้สั้นลง ก็จำเป็นต้องพับแผนเช่นกัน เพราะเงื่อนเวลาในการออกกฎหมายไม่ทันเทอมสภาฯ

ขณะที่นโยบายหาเสียง ที่เป็นตัวเปิดเกม สร้างกระแสโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง "แจกหมื่น ดิจิทัลวอลเล็ต" ก็มีอันต้องปิดโครงการไปก่อน ท่ามกลางความผิดหวังของฐานเสียง

รื้อ-โละมรดก“พรรคสีน้ำเงิน”

นอกจากการปั๊มนโยบายของ “เพื่อไทย” แล้ว อีกทางหนึ่งคือการโละทิ้งมรดก “พรรคภูมิใจไทย” เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามทางการเมือง โดยเฉพาะเครือข่ายสีน้ำเงิน ที่ฝังรากลึกอยู่ในหลายองค์กร โดยเฉพาะ “กระทรวงมหาดไทย” อาจจะมีการล้างบาง “บิ๊กข้าราชการ” ที่เติบโตในยุค “ภูมิใจไทย”

ที่สำคัญต้องจับตาคดีที่ดินเขากระโดง ของ “ตระกูลชิดชอบ” ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมที่ดิน เมื่อ “เพื่อไทย” ได้คุมกระทรวงมหาดไทย กรณีที่ดินเขากระโดงอาจจะมีข้อยุติ และเอาคืนทั้งที่ดิน ทั้งคนตระกูลชิดชอบได้

รวมถึงปัญหา “กัญชาเสรี” นโยบายของภูมิใจไทย จะถูกพลิกกลับมาเป็นยาเสพติด โดยเริ่มต้นด้วยข้อสังการให้ “กระทรวงสาธารณสุข” เร่งศึกษาถึงมาตรการในการควบคุม กัญชาให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ให้เน้นการใช้ “กัญชาเพื่อการแพทย์” เท่านั้น

ทั้งหมดคือภารกิจของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่จำเป็นต้องเร่งปั๊มผลงาน เพื่อฟื้นศรัทธา เรียกคะแนนนิยมกลับมาโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งรอบหน้า มีโอกาสพ่ายยับ ต่ำร้อย