ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

การถอย ร่างกม.คอมเพล็กซ์ และดัน "กฎหมายนิรโทษ" มาพิจารณาห้วงแรกของสมัยประชุม คือ สัญญาณชัดว่าต้องการประคอง "แพทองธาร" ให้ผ่านมรสุมการเมืองช่วงนี้

KEY

POINTS

Key Point :

  • การถอย ร่างพ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คือสัญญาณหวั่นไหวที่ชัดเจนของ "เพื่อไทย"
  • ที่ไม่ต้องการสร้างประเด็นปัญหาที่สะเทือนไปยัง "รัฐบาล-แพทองธาร ชินวัตร"
  • ที่ปัจจุบันเผชิญมรสุมการเมือง ภายในสภาฯ และ มวลชนขับไล่นอกสภา
  • แม้จะผนึกพลัง 11 พรรคการเมือง เดินหน้าเป็นรัฐบาลต่อ แต่ด้วยภาวะเสียงปริ่มน้ำในสภาฯ ทำให้ "ผู้จัดการรัฐบาล" ต้องรีเซ็ตหมากบนกระดานใหม่
  • จังหวะแรก คือ การถอย ร่างพ.ร.บ.คอมเพล็กซ์ เพื่อลดกระแสและประเด็นให้ม็อบนำไปขยายผล
  • จังหวะสอง คือ การดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรองให้ "ศัตรู" มาเป็นแนวร่วมและเบี่ยงประเด็นสังคม
  • ทว่า ในเกมสภาฯ ยังมีปัจจัยแทรกซ้อนได้เสมอ หาก "เพื่อไทย" เพลี้ยงพล้ำเมื่อไร อาจถูก ฝ่ายค้านที่มีแรงแค้น ยืมพลังแฝงจากมวลชนหลากสี มารุมสกรัม "รัฐบาล-ชินวัตร" 

“แพทองธาร ชินวัตร” ผนึก 11 พรรคการเมือง เป็นพลังค้ำยัน “รัฐบาล-เพื่อไทย” ให้อยู่ต่อ และยังครองฝ่ายเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยจำนวน สส.255 คน จาก สส.ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 495 คน

“พรรคเพื่อไทย และพรรคกล้าธรรม” การันตีว่าเสียงที่มีในมือจะเพิ่มขึ้น ทำให้ “ขั้วรัฐบาล” ถือแต้มนำ “ขั้วฝ่ายค้าน” เกือบ 30 เสียง เพราะในจำนวนสส. ที่มี 255 เสียง จะได้ สส.งูเห่ามาเติมไม่ต่ำ 6 เสียง ผลคือมี สส.“ฝ่ายรัฐบาล” 261 เสียง นำ “ฝ่ายค้าน” ที่มีกำลัง 234 เสียง

ทว่า แต้มนำที่มี 27 เสียง ไม่ทำให้ “ฝ่ายเสียงข้างมาก” ได้เปรียบ และเอาชนะด้วยเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ภาวะนี้ทำให้ “ผู้จัดการรัฐบาล” ต้องตัดปัจจัยเสี่ยง “งานสภาฯ” ที่อาจเป็นไฟลามไปสู่การ “ล่มรัฐบาลแพทองธาร”

ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นเชิงประจักษ์ คือ การถอย ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... หรือ ร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่พ่วงกาสิโนออกไปก่อน

เรื่องนี้ มีการประสานเสียงจาก “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล” ที่คุมงานฝั่งสภาฯ กับ “มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม ตัวแทนของ “คณะรัฐมนตรี” ที่ทำหน้าที่ในวิปว่า

“จะเลื่อนร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อน เพราะต้องรอให้รัฐบาลชี้แจงกับประชาชนถึงรายละเอียดของร่างกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นกาสิโนที่บัญญัติไว้ในร่างกฎหมายที่มีเพียงส่วนน้อย แต่ถูกตีรวนจากผู้เห็นต่าง”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นแทคติกของสภาฯ ที่ต้องการลดแรงปะทะให้รัฐบาล

ที่เชื่อว่าจะถาโถมมาจาก “ฝ่ายค้าน” คือ “พรรคประชาชน” และ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมายการประกอบสถานบันเทิงครบวงจรที่พ่วงกาสิโน และจาก “ม็อบต้านกาสิโน” ที่ขณะนี้กลายเป็นมวลชนร้อยสาย ไหลรวมไปเป็น “คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย”

ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

โดยม็อบกลุ่มนี้ กำลังปลุกพลังมวลชนต้านรัฐบาล จากประเด็นคลิปเสียงสนทนาของ “แพทองธาร” กับ “สมเด็จฮุน เซน” และถูกแปลความเป็นเจตนาที่นายกฯ ไม่รักษาอธิปไตย-ดินแดนของชาติ

ดังนั้นหากเปิดสมัยประชุม และ “รัฐบาล” ดันทุรังเดินหน้า พิจารณาร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรอีก ยิ่งจะเป็นการเติมไฟ ให้ “ม็อบหลากสี” จุดติด และมีปัจจัยยกระดับ

โดยวิธีการของเรื่องนี้ “วิสุทธิ์” บอกว่า จะยกร่างกฎหมายที่กรรมาธิการ(กมธ.)พิจารณาเสร็จแล้วขึ้นมาก่อน สำทับด้วยร่างกฎหมายที่ ครม. เสนอเข้ามา รวมถึงร่างกฎหมายของ สส.ฉบับสำคัญ ราวๆ 5-6 ฉบับ

หากตรวจสอบดูวาระของสภาฯ ที่จะเริ่มต้นเปิดประชุม 3 ก.ค.นี้ ในวันแรกของการประชุมสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่หนึ่งของสภาฯ ปีที่ 3 ตรงกับวันพฤหัสบดี เป็นการพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา กระทู้ถามทั่วไป กระทู้แยกเฉพาะ ต่อด้วยรายงานการศึกษาของ กมธ. และญัตติที่ค้างพิจารณา

เมื่อตรวจสอบจากวาระที่ค้างมาจากสมัยประชุมที่ผ่านมาจะพบว่ามี รายงานกมธ.ที่รอสภาพิจารณา 5 ฉบับ และญัตติค้างกว่า 57 ฉบับ

จากนั้นการประชุมนัดที่ 2 ของสมัยประชุมจะเกิดขึ้นในวันพุธที่ 9 ก.ค. ตามวาระแล้ว คือการพิจารณาร่างกฎหมาย 

จากการตรวจสอบวาระที่ค้างจากสมัยประชุมที่แล้ว มีร่างกฎหมายซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน 5 ฉบับ คือ ร่างพ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ต่อด้วย กลุ่มร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการสร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือ ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม

และตามความที่ “มนพร” บอกไว้ว่า เมื่อเลื่อนร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรออกไปก่อน จะถึงคิวร่างกฎหมายกลุ่มว่าด้วยการสร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือนิรโทษกรรม ที่ได้สิทธิพิจารณาทันที

ถือเป็น “กลยุทธ์” ที่ “ผู้จัดการรัฐบาล” วางหมากไว้ เพื่อเปลี่ยน “ศัตรู”มาเป็นแนวร่วม ผ่านการสมประโยชน์ในสภาฯ

ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

เพราะกลุ่มร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ถือเป็นกฎหมายการเมืองที่ “แกนนำม็อบ-มวลชน” ซึ่งมีคดีติดตัวจากการชุมนุม ต้องการถอนชนักที่ปักหลังไว้ จากผลพวงของร่างกฎหมายเหล่านี้

โดยปัจจุบันมี 4 ฉบับ คือ ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข เสนอโดย “วิชัย สุดสวาสดิ์” สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ คนใกล้ชิดของ “ชุมพล จุลใส” หรือ ลูกหมี แกนนำกปปส.

ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข เสนอโดย ปรีดา บุญเพลิง พรรคกล้าธรรม เสนอเมื่อครั้งยังสังกัดครูไทยเพื่อประชาชน ที่ร่วมกับ “พรรคประชาธิปัตย์-พรรคประชาชาติ” และบรรดาพรรคการเมืองหนึ่งเสียงที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันย้ายสังกัดเข้า “พรรคกล้าธรรม”

ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ... เสนอโดย “สส.พรรคประชาชน” เมื่อครั้งยังเป็น “พรรคก้าวไกล" และ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เสนอโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 36,723 คน ซึ่งกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ เน้นไปที่มวลชนที่ต้องคดีมาตรา112

ดังนั้นการยอมถอยร่างกฎหมายของ​ “เพื่อไทย” และ สลับให้กฎหมายการเมืองขึ้นมาพิจารณาแทนช่วงนี้ เท่ากับลดโทนกระแสสังคม และเปลี่ยนความสนใจให้ไปอยู่กับเรื่องอื่นแทน

ทว่า เกมการเมืองในสภาฯ ยังมีประเด็นแทรกได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดสมัยประชุม เชื่อได้ว่าจะถูกทวงถามถึงการยืนยัน ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ… ที่ครบกำหนดการยับยั้ง 180 วัน ขึ้นมาพิจารณาในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของสมัยประชุม ก.ค.นี้ เพื่อนำไปสู่การตั้งต้นให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อมี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (ส.ส.ร.)

เรื่องนี้เป็นความต้องการของร่วมกันของ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” แต่การไม่ส่งสัญญาณชัดว่า จะยกเรื่องนี้มายืนยันเมื่อใดจาก “พรรคเพื่อไทย” สร้างความร้อนใจให้ “พลพรรคสีส้ม” เพราะหากไม่เร่ง อาจไม่ทันเวลา 

ดึง ‘กาสิโน’ ดัน ‘นิรโทษกรรม’ แทคติก‘สภาฯ’ ประคอง‘รัฐบาล’

ขณะที่ “ผู้จัดการพรรคเพื่อไทย” มองเกมต่างออกไป โดยมองว่า หากเร่งเกมแก้รัฐธรรมนูญก่อนที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะวินิจฉัยเรื่องที่ส่งตีความ อาจเป็นการสร้างปัจจัยให้ “ม็อบรวมพลังแผ่นดินฯ” ฉวยโอกาสก่อหวอดต่อต้านได้อีก เพราะแกนนำม็อบกลุ่มนี้ ล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่ค้านการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นมรดกของ “คณะรัฐประหาร 2557”

วาระการเมืองต่อจากนี้ ถือเป็นฉากที่ต้องจับตาให้ดี เพราะหาก “ฝ่ายเสียงข้างมาก” ที่มีภาวะปริ่มน้ำ ไม่ระวังตัว หรือวางแผนไม่รัดกุม อาจเพลี่ยงพล้ำให้กับ “ฝ่ายเสียงข้างน้อย” ที่มีมวลชนหลากสีสัน และ “สว.สีน้ำเงิน” เป็นพลังแฝง รอรุมสกรัม “รัฐบาลชินวัตร"