ปชน.-ภท. 'ฝ่ายค้าน 2 ขั้ว' จับตาหักเหลี่ยมซักฟอก ชิงการนำ

“ภูมิใจไทย” ในฐานะ“ฝ่ายค้านน้องใหม่” จึงเริ่มปฏิบัติการ“เอาคืน” โดยเตรียมล่าชื่อ สส.จำนวน 99 เสียง จากทั้งหมด 495 คน ยื่นซักฟอก
KEY
POINTS
- รัฐนาวา “แพทองธาร ชินวัตร” แม้ดูเหมือนจะแล่นต่อไปได้แล้ว หลังจากฟอร์มทีมปรับ ครม.ใหม่
- “ภูมิใจไทย” ในฐานะ“ฝ่ายค้านน้องใหม่” จึงเริ่มปฏิบัติการ“เอาคืน” โดยเตรียมล่าชื่อ สส.จำนวน 1 ใน 5 จากจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาฯ นั่นคือ 99 เสียง จากทั้งหมด 495 คน ยื่นซักฟอก
- “ปชน.” ก็ดูจะไม่ค่อยชอบใจนักที่ “ภูมิใจไทย” เมื่อมาเป็นฝ่ายค้าน พยายามจะผลักดันตัวเองก้าวขึ้นมาเป็น “ฝ่ายค้าน No.1” ทั้งที่มีแค่ 69 เสียง
- "พรรคส้ม" ประเมินแล้ว "ได้ไม่คุ้มเสีย" เลย "เซย์โน" กับ "ก๊กน้ำเงิน" รอดูการยุบสภาฯอีกไม่นาน ดีกว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง "สางแค้น" ให้ "ภท."
รัฐนาวา “แพทองธาร ชินวัตร” แม้ดูเหมือนจะแล่นต่อไปได้แล้ว หลังจากฟอร์มทีมปรับ ครม.ใหม่ เมื่อ “ภูมิใจไทย” ยอมหักไม่ยอมงอ ลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากถูกบีบ “ทวงคืน มท.” คล้าย ๆ กับอัปเปหิพ้นพรรคร่วมรัฐบาลกลาย ๆ จนต้องลาออกไปเองในเวลาต่อมา
“ภูมิใจไทย” ในฐานะ“ฝ่ายค้านน้องใหม่” จึงเริ่มปฏิบัติการ“เอาคืน” โดยเตรียมล่าชื่อ สส.จำนวน 1 ใน 5 จากจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาฯ นั่นคือ 99 เสียง จากทั้งหมด 495 คน มายื่น "ซักฟอก" แต่ปัจจุบัน “ก๊กน้ำเงิน” มี สส.ในมือแค่ 69 เสียง ดังนั้นต้องหาอีก 30 เสียงมาเติมเต็ม
เมื่อไล่เรียงพรรคร่วมฝ่ายค้านในปัจจุบัน อัปเดตล่าสุดเมื่อ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พบว่า มีจำนวนเสียงรวม 231 เสียง ได้แก่ พรรคประชาชน 143 เสียง พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง
นั่นจึงทำให้ “ภูมิใจไทย” เริ่มส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ๆ โดยเฉพาะจาก “พรรคประชาชน” ชวนมาร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติซักฟอก ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 หวังใช้เล่ห์กล “เสียงปริ่มน้ำ” โค่นล้มรัฐบาลชุดนี้ให้ได้ สะสางรอยแค้นที่ถูกขับพ้นพรรคร่วมฯ
ล่าสุด ว่ากันว่าช่วงดึกคืนวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา “พรรคประชาชน” มีการประชุมแกนนำอย่างเร่งด่วนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสุดท้ายที่ประชุมมีมติเคาะว่า จะยังไม่ร่วมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับพรรคภูมิใจไทยในเวลานี้ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่สุกงอม นอกจากนี้ในช่วงต้นปีเพิ่งจะซักฟอกไป ทำให้ยังไม่มีประเด็นอะไรใหม่ที่จะไปดำเนินการตรวจสอบรัฐบาล ดังนั้นหากมาซักฟอกในช่วงเวลานี้อาจ “เสียของ” ได้
นอกจากนี้ “ปชน.” ก็ดูจะไม่ค่อยชอบใจนักที่ “ภูมิใจไทย” เมื่อมาเป็นฝ่ายค้าน พยายามจะผลักดันตัวเองก้าวขึ้นมาเป็น “ฝ่ายค้าน No.1” ทั้งที่มีแค่ 69 เสียง แถมการชงยื่นญัตติซักฟอกครั้งนี้ก็ไม่ปรึกษาใคร หวังแย่งชิงการนำ “ฝ่ายค้าน” ในสภาฯ ขัดกับประเพณีของฝ่ายค้าน ที่เมื่อจะซักฟอก ต้องรอให้พรรคของ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ริเริ่มเสียก่อน
ข้อเท็จจริงข้างต้น เข้าเค้าตามคำให้สัมภาษณ์ของ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค ปชน.ช่วงเช้าวานนี้ (25 มิ.ย.) ตอนหนึ่งว่า การยื่นตามมาตรา 151 ต้องมีการหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอยู่แล้ว ในส่วนทางการ พรรคเรามีการนัดประชุมกับ สส. ก่อนที่จะมีการให้ข่าวจากพรรคภูมิใจไทยเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เมื่อได้ข้อสรุปภายในพรรค ก็จะมีการหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะในตอนนี้ ต้องยอมรับว่า เมื่อมีการเปลี่ยนองค์ประกอบของรัฐบาล ก็มีหลายอย่างที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ทั้งเรื่อง มาตรา 151 และการตั้งวิปฝ่ายค้านชุดใหม่ที่ต้องให้เป็นไปตามสัดส่วนของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยเช่นเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน พริษฐ์ ตอบกลับว่า เข้าใจถึงแนวคิดว่าควรจะมีการยื่นเร็ว แต่ก็เป็นไปตามที่บอกไปว่า มาตรา 151 เป็นอาวุธที่ต้องใช้อย่างแม่นยำ จึงควรหารือร่วมกัน
ส่วนเรื่องกรอบเวลาในการหารือ เรื่องการยื่นมาตรา 151 นั้น พริษฐ์ ยืนยันว่า หากในสัปดาห์หน้าพรรคประชาชนได้ความชัดเจน ก็คงไม่รอช้า ในการจะหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น เพื่อเดินหน้า และหวังว่าในวันที่ 3 ก.ค. จะมีการเปิดประชุมสภาฯ เพราะมีข่าวแว่วมาว่า อาจจะไม่มีการเรียกประชุม เนื่องจากในตอนนี้ ก็ยังไม่มีหนังสือเชิญมา ซึ่งถือว่าผิดวิสัยมาก จึงเราหวังว่า ทางประธานสภาฯ จะมีการดำเนินการเรื่องนี้ หรือมอบหมายให้รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ดำเนินการเรื่องนี้แทน
เมื่อถามถึงการเข้ามาร่วมเป็นฝ่ายค้านของพรรคภูมิใจไทย จะทำให้พรรคประชาชนต้องปรับตัวเยอะหรือไม่ เนื่องจากดูเหมือนจุดยืนจะไม่เข้ากัน พริษฐ์ กล่าวว่า โดยระบบรัฐสภา พรรคที่ทำงานฝ่ายค้านร่วมกัน มันเลือกไม่ได้อยู่แล้ว ตนเองก็เคยเปรียบเปรยไว้ว่า เวลาเขาร่วมรัฐบาล เหมือนคนที่ตกลงเป็นแฟนกัน แต่พรรคฝ่ายค้าน คือคนโสดที่เหลืออยู่ร่วมกัน เลือกไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่ที่มีสภาฯชุดนี้มา เราก็อยู่ในซีกฝ่ายค้านร่วมกับพรรคอื่นเต็มไปหมด
“บางพรรคตอนแรกเป็นฝ่ายค้าน พอมีโอกาสร่วมรัฐบาลก็ไปร่วมทันที บางพรรคอาจจะเคยอยู่ร่วมรัฐบาล ก็มีครึ่งหนึ่งมาเป็นฝ่ายค้าน แต่อย่างไร พรรคประชาชน ก็ยังทำงานตามจุดยืนแนวทางของเรา อะไรที่ต้องมีความร่วมมือกันกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็ทำงานโดยการให้เกียรติกันและกัน แต่ต้องรักษาจุดยืนและหลักการของตัวเอง” พริษฐ์ ระบุ
อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจ ต้องไม่ลืมว่า “ปชน.” มีความไม่กินแหนงแคลงใจกันกับ “ก๊กน้ำเงิน” พอสมควร เคยปะทะคารมกันในหลายวาระ ทั้งในสภาฯ-นอกสภาฯ
ถ้าย้อนกลับไปช่วงฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลภายหลังเลือกตั้งปี 2566 ขณะที่“พรรคส้ม”เป็นแกนนำรวบรวมเสียง ว่ากันว่า มีเบอร์โทรศัพท์ปริศนาจาก “บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่” โทรสายตรงถึง “บิ๊กเนมค่ายน้ำเงิน” หวังชวนมาร่วมดีลจัดตั้งรัฐบาล แต่เจ้าของเบอร์โทรศัพท์นั้นไม่รับสาย
จนสุดท้ายนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ตาม“ปฏิญญาช็อกมินต์” นำโดยพรรคเพื่อไทย เขี่ย“พรรคส้ม”ทิ้ง ฝากฝังความคาใจเอาไว้แก่ “บิ๊กเนมสีส้ม” จนถึงทุกวันนี้
ตัดภาพกลับมาปัจจุบัน คาดไม่ถึงว่า “ภูมิใจไทย” พรรคบ้านใหญ่อนุรักษนิยม จะตกที่นั่งลำบาก กลายเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง และเมื่อพยายามติดต่อขอเสียงเพิ่มเติมจาก“พรรคส้ม” ก็ถึงเวลาเอาคืนจากการดีลจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรก โดยการ “เซย์ โน” เช่นกัน
ทั้งนี้ “บิ๊กเนมสีส้ม”บางคนประเมินกันว่า รัฐบาลชุดนี้ น่าจะมีอายุเหลืออีกไม่นาน นับถอยหลังไปสู่การยุบสภาฯ ดังนั้นการยื่นซักฟอกร่วมกับพรรคภูมิใจไทย อาจกลายเป็นเครื่องมือในการสางแค้นของ “ก๊กน้ำเงิน” มากกว่าการทำงานตรวจสอบทุจริตอย่างตรงไปตรงมาตามภาพลักษณ์ของพรรค
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย อาจจำเป็นต้องเบนเข็มไปพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่นที่เหลือ เช่น พรรคพลังประชารัฐ ที่มี 20 เสียง แต่ต่อให้รวมเสียงทั้งหมดของ 2 พรรคจะได้เพียง 89 เสียง ขาดอีก 10 เสียง ไม่ถึง 99 เสียง ไม่ครบ 1 ใน 5 ตามรัฐธรรมนูญ ที่จะยื่นซักฟอกตามมาตรา 151 ได้อยู่ดี
มิพักต้องพูดถึงพรรคไทยสร้างไทย ที่ไม่ชัดว่าจะยังอยู่กับฝ่ายค้านต่อหรือไม่ ส่วนพรรคเป็นธรรม แนวร่วมของ ปชน.ย่อมอยู่ข้าง “พรรคส้ม” แน่นอนอยู่แล้ว
ดังนั้นแผน “เอาคืน” รัฐบาล และ “ชิงการนำ” ในฝ่ายค้านของ “ภูมิใจไทย” ณ เวลานี้ อาจล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ก็เป็นไปได้







