'โรม' มอง ภท.คงหวังดีชิงตัดหน้ายื่นซักฟอก ปชน.ยื่นแน่ รอดูจังหวะ

'โรม' มอง 'ภูมิใจไทย' ชิงตัดหน้ายื่นซักฟอกตาม ม.151 อาจหวังดี ไม่ทราบเหตุผลทำไมยื่นก่อน ลั่น ปชน.ยื่นแน่ แต่รอดูจังหวะ เป็นช่วงไหนขอคุยพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีวันที่ 28 มิ.ย.นี้ มีการนัดชุมนุมของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน" จุดยืนของพรรคประชาชนและจุดยืนส่วนตัวเป็นอย่างไร ว่า เรื่องชุมนุมทางการเมืองถือว่าเป็นเสรีภาพทางการแสดงออกไม่ว่าผู้ชุมนุมจะเห็นไปในทิศทางใด มองว่ารัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยรับรองหลักการในเรื่องนี้ว่าประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ผู้คนอยากเห็นการชุมนุมในรูปแบบที่ควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกันการจัดการของภาครัฐ ต้องเน้นย้ำว่ามีความท้าทายและปัญหาหลายอย่างรุมเร้า ไม่อยากให้ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐสร้างเงื่อนไขเรื่องการชุมนุม
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คิดว่าวันหนึ่งพรรคของตนได้เข้ามาบริหาร ก็ต้องมีกลุ่มผู้เห็นต่างออกมาชุมนุมตามสิทธิเสรีภาพของตนเอง หน้าที่ของภาครัฐจะต้องไปคิดว่าจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมอย่างไร และต้องขีดเส้นว่าการชุมนุมจะต้องมีขอบเขตประมาณไหนที่จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
ส่วนจะเข้าร่วมปราศรัยหรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่ามีการเชิญใครไปร่วมปราศรัยบ้าง และการดำเนินการส่วนภาคประชาชนนั้นก็สามารถทำได้ เพราะหลายคนก็เป็นอดีตนักการเมืองและประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างยาวนาน สามารถขับเคลื่อนการชุมนุมได้อยู่แล้ว ส่วนของตนขอโฟกัสเรื่องการทำหน้าที่ สส.ในการติดตามเรื่องความมั่นคงต่างๆ เป็นหลักมากกว่า
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยออกมาเรียกร้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้ง ๆ ที่พรรคประชาชนเป็นพรรคแกนนำของฝ่ายค้าน มองประเด็นนี้อย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ก็ต้องมาพูดคุยกัน เพราะพรรคฝ่ายค้านมีหลายพรรคการเมือง ไม่ได้มีแค่พรรคประชาชนพรรคเดียว จะต้องมาคุยกันว่าสุดท้ายแล้วจะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไหร่ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่พรรคประชาชนได้มาทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เราจึงทราบว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญมาก และใช้ได้แค่ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในเรื่องที่ทางพรรคคิดไว้อยู่แล้ว
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า แต่ข้อเสนอที่ส่งไปตอนแรกเป็นการเรียกร้องให้ยุบสภาก่อน หากเร่งให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วก็จะติดปัญหาตรงที่ไม่สามารถยุบสภาได้ จึงต้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองว่าควรจะยุบสภาหรือไม่ และสุดท้ายรัฐบาลก็เลือกที่จะไม่ยุบสภา แต่เลือกฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นมาแทน ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าใครเป็นรัฐมนตรีบ้าง มีพรรคบางพรรคแย่งเก้าอี้กันเอง ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และประชาชนเกี่ยวกับเรื่องคลิปเสียง เมื่อรัฐบาลไม่ได้สนใจข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านก็คงพิจารณาเพื่อตั้งคำถามไปยังรัฐบาล ตั้งแต่การตั้งกระทู้ถาม ไปจนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงอยู่ที่จังหวะของการพูดคุยและช่วงนี้เป็นการปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว
โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมกับทุกพรรคร่วมฝ่ายค้าน และตนยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ขอพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน ทั้งนี้ จะไม่ได้มีแค่ประเด็นเรื่องคลิปเสียงระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน อย่างแน่นอน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเตรียมรับมือเรื่องนี้ เพราะไม่ได้สนใจและรับผิดชอบการกระทำของตนเองเลย
เมื่อถามว่า ที่การมองว่าพรรคภูมิใจไทยออกมาบอกแบบนั้นเป็นการปาดหน้าพรรคประชาชนหรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยออกมาชิงแถลงว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อน มองว่าอาจจะเป็นความหวังดีของทางนั้นว่าอาจจะอยากแสดงความคิดเห็นในตอนนี้ ไม่ได้มองตรงนั้นเป็นสำคัญ แต่มองว่าถ้าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดก็ต้องเข้ามาพูดคุยกัน







