สส.ปชน.กังขาปมประมูลคลื่นความถี่ จี้ กสทช.เปิดเผยโปร่งใส

สส.ปชน.กังขาปมประมูลคลื่นความถี่ จี้ กสทช.เปิดเผยโปร่งใส

สส.ปชน.กังขาปม กสทช.จัดประมูลคลื่นความถี่ 29 มิ.ย. 'พนิดา' ซัดราคาเริ่มต่ำเตี้ย ไร้หลักประกันค่าบริการถูกลง คุณภาพเพิ่มขึ้น 'รักชนก' นัดบ่ายโมงแถลงต่อ

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ เขต 1 พรรคประชาชน (ปชน.) ระบุถึงกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะจัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ 4 คลื่นหลักสำหรับกิจการโทรคมนาคม (Mobile) ที่กำลังจะสิ้นสุดใบอนุญาตในเดือน ส.ค. ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ว่า คลื่นความถี่นี้เป็นทรัพยากรสาธารณะ สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ต เป็นพื้นฐานของการสื่อสารและเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคปัจจุบัน กสทช. ในฐานะผู้กำกับกิจการและจัดสรรคลื่นความถี่ จึงเป็นกลไกที่สำคัญในการที่รัฐจะสามารถจัดสรรคลื่นความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม โปร่งใส และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศ

น.ส.พนิดา ระบุว่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการประมูลครั้งนี้ กลับทำให้เราต้องตั้งคำถามถึงบทบาทของ กสทช. ที่ไม่ได้ทำหน้าที่กำกับกิจการโทรคมนาคม ให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม อันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายการประมูลครั้งนี้ มีผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเข้าร่วมการประมูลเพียง 2 รายเท่านั้น

นอกจากที่เราจะไม่เห็นผู้ประกอบกิจการรายอื่นเข้าร่วมประมูลแล้ว ยังไม่มีวี่แววที่จะเกิดผู้ประกอบกิจการรายใหม่ภายใต้ตลาดหลังการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ทำให้เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าการประมูลครั้งนี้ จะไม่ได้ช่วยให้ตลาดโทรคมนาคมเกิดการแข่งขันและทำให้เกิดความหลากหลายของผู้ให้บริการอย่างแน่นอน ราคาสุดท้ายของการประมูลอาจจะจบที่ราคาตั้งต้น ซึ่งราคาตั้งต้นการประมูลก็ต่ำเกินกว่าราคาที่รัฐจัดเก็บได้ในปัจจุบัน นี่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน เสี่ยงทำรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล พร้อมทั้งไม่มีหลักประกันเรื่องค่าบริการที่จะถูกลง หรือการันตีเรื่องคุณภาพให้กับผู้ใช้บริการ

น.ส.พนิดา ระบุอีกว่า เพราะเมื่อเราดูจากมติบอร์ด กสทช. ที่อนุมัติการนำคลื่นความถี่ 4 ย่านออกมาประมูล และเคาะราคาขั้นต่ำเป็นที่เรียบร้อย ดังนี้ 850 เมกะเฮิร์ตซ์ ราคา 7,738.23 ล้านบาท, 1500 เมกะเฮิร์ตซ์ ราคา 1,057.49 ล้านบาท, 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ ราคา 4,500 ล้านบาท และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์ ราคา 2,596.15 ล้านบาท จากราคาตั้งต้นดังกล่าว ทำให้เกิดข้อสังเกตเรื่องราคาคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ และ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่เปิดประมูลนั้น ต่ำเกินไปหรือไม่ ทั้งนี้ ข้อกังวลของราคาขั้นต่ำที่ทาง กสทช. ประกาศออกมาผ่านการรับฟังความคิดเห็นทั้ง 2 ครั้ง ที่มีการใช้แนวทางการประมาณการราคาโดยโมเดลทางเศรษฐมิติ ประกอบกับราคาประมูลครั้งก่อนหน้า แต่กลับไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนของที่มาที่ไปในการตัดสินใจของบอร์ด กสทช. ในการเคาะราคา

สส.ปชน.กังขาปมประมูลคลื่นความถี่ จี้ กสทช.เปิดเผยโปร่งใส

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา รัฐสภาได้มีการพิจารณาศึกษาการจัดการประมูลคลื่นความถี่ ในกิจการโทรคมนาคม ในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร และได้เชิญผู้แทนจาก กสทช. บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือ NT สภาองค์กรผู้บริโภค และนักวิชาการอดีตคณะกรรมการ กสทช. เข้าร่วมการประชุม โดยสำนักงาน กสทช. ชี้แจงว่ามีการทำรายงานการศึกษาเรื่องราคาตั้งต้นเสนอให้ทางบอร์ดตัดสินใจ โดยมีหลายโมเดลด้วยกัน สุดท้าย ราคาที่สรุปออกมากลับใช้โมเดลที่แตกต่างกันไปในแต่ละคลื่นความถี่ จึงทำให้เราเห็นว่า กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์การเลือกใช้ราคาที่ชัดเจน

"ยกตัวอย่างคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ มีการตั้งราคาประมูลเริ่มต้นที่ 4,500 ล้านบาท โดยใช้โมเดลการอ้างอิงราคาจากการประมูลคลื่น 3G เมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นราคาของปี 2555 ทาง กสทช. กลับไม่แม้แต่จะคำนวณให้เป็นราคา ณ ปี 2568 โดยนำปัจจัยของเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณ  ซึ่งหากเรานำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมาคิดให้เป็นราคาปัจจุบัน ราคาที่ควรจะเป็นคือ 5,150 ล้านบาท สูงกว่าราคาขั้นต่ำ 650 ล้านบาท" น.ส.พนิดา ระบุ

น.ส.พนิดา ระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความยินดีจะจ่าย (willingness to pay) ของบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูล เราพบว่าในปัจจุบันบริษัท AIS จ่ายค่าบริการเช่าใช้โครงข่ายในคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ ราคา 12,669.10 ล้านบาทให้กับ NT ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตในคลื่นดังกล่าวอยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทมีความสามารถที่จะจ่ายได้สูงกว่าราคาตั้งต้นเกือบ 3 เท่า ส่วนราคาตั้งต้นของคลื่น 2300 เมกะเฮิร์ตซ์ ก็เช่นเดียวกัน กสทช. เลือกใช้โมเดลการประเมินราคาตลาดโลกที่มีแนวโน้มต่ำลง ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นที่เพียง 2,596.15 ล้านบาท ในขณะที่ DTAC ซึ่งปัจจุบันเช่าใช้โครงข่ายดังกล่าวกับ NT จ่ายให้ NT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในราคาที่สูงกว่ามากถึง 7,309.10 ล้านบาทหรือเกือบ 3 เท่า

ส่วนอีก 2 คลื่น คือ 850 เมกะเฮิร์ตซ์ และ 1500 เมกะเฮิร์ตซ์ คาดว่าจะไม่มีผู้ประมูล เพราะเอกชนทั้ง 2 รายที่เข้าประมูลก็ล้วนมีโครงข่ายที่สร้างไว้สำหรับการใช้งานในคลื่นความถี่ย่าน 2100 และ 2300 ที่เช่าใช้อยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อ NT สิ้นสุดใบอนุญาตในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เอกชนทั้งสองรายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในอุปกรณ์และโครงข่ายใหม่ทั้งระบบ ประกอบกับปริมาณการใช้งานต่อคลื่นดังกล่าวเพียงพอต่อตลาดในปัจจุบัน เราจึงคาดหมายได้ว่า ผู้ประกอบกิจการที่เข้าร่วมประมูลก็จะเลือกคลื่นที่ตนเองเคยใช้อยู่ และจะไม่มีการแข่งขันด้านราคาแต่อย่างใด นั่นหมายความ เราอาจจะเห็นคลื่นเหลือ ไม่มีผู้ประมูลและคลื่นที่ประมูลได้ก็จะได้ในราคาขั้นต่ำโดยไม่มีการแข่งขัน และนี่จะกลายเป็นตัวอย่างที่สำคัญของผลลัพธ์ภายหลังการปล่อยให้เกิดการควบรวมกิจการทรู-ดีแทคอีกด้วย

และยังพบว่า กสทช. มีการใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศ สูงถึง 7 ล้านบาท เพื่อออกแบบวิธีการประมูล ทั้งๆ ที่การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้แทบไม่มีการแข่งขันจริง และชัดเจนว่าไม่มีผู้ให้บริการรายใหม่มาเป็นผู้ร่วมประมูล แม้แต่ NT ที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้รับสัมปทานเดิมก็ไม่เข้าร่วม ทำให้ราคาประมูลอาจไม่ขยับขึ้นจากราคาตั้งต้น ส่งผลให้รัฐไม่ได้รายได้เพิ่มจากคลื่นความถี่ตามที่ควรจะได้รับ โดยที่ กสทช. ไม่มีการประเมินฉากทัศน์เหล่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการจัดสรรคลื่นความถี่ที่ไม่สะท้อนการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม หรือแผนการกำกับกิจการโทรคมนาคมภายใต้ข้อจำกัดและปัจจัยการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป เราก็ไม่เห็นแผนที่เป็นรูปธรรมของ กสทช. แต่อย่างใด

“การกำหนดราคาขั้นต่ำในการเริ่มต้นประมูลที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบัน แถมยังคาดหมายได้ว่าใครจะประมูลความถี่ไหนย่อมทำให้เกิดข้อครหาขึ้นได้ว่า กสทช. ตั้งใจจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทโทรคมนาคมหรือไม่” น.ส.พนิดา ระบุ

น.ส.พนิดา ระบุว่า แม้ราคาประมูลดูเหมือนจะถูกลง เราอาจจะมองว่าต้นทุนของบริษัทถูกลง อาจจะทำให้ค่าบริการถูกลงหรือไม่ จากการประชุม กมธ. ประกอบกับเงื่อนไขในการประมูล พบว่าไม่มีหลักประกันมาการันตีว่าจะนำไปสู่ค่าบริการที่ถูกลง หรือการประกันคุณภาพการให้บริการที่ทั่วถึงและดีขึ้น รวมทั้งการประกันความหลากหลายของบริการและการเปิดตลาดให้กับผู้เล่นรายเล็กและรายใหม่ให้เกิดขึ้นจริง

เห็นได้จากเงื่อนไขการประมูลครั้งนี้ เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่เหมือนเขียนบนกระดาษเปล่า ไม่ได้สร้างเงื่อนไขบังคับที่เคร่งครัด ไม่มีหลักเกณฑ์การตรวจสอบและกำกับที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเงื่อนไขการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และการกำหนดมาตรการของผู้มีอำนาจเหนือตลาด ตลอดการกำกับของ กสทช. ที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นศักยภาพของหลักเกณฑ์ Infra Sharing, Open Access และการเกิดขึ้นของ MVNO ได้เต็มศักยภาพของโครงข่ายเลย มีแต่จะเห็นรายใหญ่กีดกันรายเล็กเสมอ และภายใต้ข้อจำกัดของตลาดที่เหลือผู้ให้บริการเพียงแค่ 2 ราย และภายใต้การกำกับในรูปแบบเดิมของ กสทช. เงื่อนไขการประมูลครั้งนี้ จะไม่ได้ทำให้ตลาดเกิดการแข่งขัน ไม่ทำให้รายเล็ก-รายใหม่เกิดได้เลย  

ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นการ “ออกแบบกติกา” ให้ใครได้ประโยชน์หรือไม่ สุดท้ายประโยชน์สูงสุดอยู่ที่ใคร เป็นประชาชนผู้ใช้บริการ ที่ควรจะได้บริการที่มีคุณภาพ ราคายุติธรรม จากการแข่งขันที่โปร่งใส หรือเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรของประเทศในราคาถูก กีดกันไม่ให้ผู้เล่นรายเล็กและรายใหม่ได้เกิด พร้อมกับการกวาดผลกำไรที่ไม่จำกัด ตนในฐานะผู้แทนราษฎรจึงขอเรียกร้องให้ประชาชน สื่อมวลชน และองค์กรภาคประชาสังคม ร่วมกันจับตา ตรวจสอบ ตั้งคำถาม เฝ้าระวังไม่ให้ทรัพยากรของชาติถูกนำไปแลกกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

น.ส.พนิดา ระบุอีกว่า ข้อเสนอของตนต่อ กสทช. ในระยะสั้น กสทช. ควรเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดอย่างโปร่งใส ตั้งแต่เกณฑ์การตั้งราคาเริ่มต้นการประมูล รายละเอียดผู้เข้าร่วมประมูล สัญญาการประมูล จนถึงแผนการใช้โครงข่ายร่วมกัน รายได้จากการประมูล และแผนการกำกับกิจการให้เกิดการแข่งขัน เปิดให้ตลาดมีผู้ให้บริการที่หลากหลาย สามารถใช้ประโยชน์จากโครงข่ายที่มีอยู่ร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอเร่งให้ กสทช. ทบทวนปรับปรุงประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลให้สอดรับกับหลักการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมมากขึ้น ปิดช่องโหว่การกำกับกิจการที่ไม่มีประสิทธิภาพในอดีตและเตรียมแผนการรับผลจากการประมูลคลื่นในรอบนี้ เพื่อทลายตลาดผูกขาดที่เหลือผู้ให้บริการเพียง 2 ราย โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การกำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาด มาตรการป้องกันการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน และการกำกับให้เกิดผู้ให้บริการที่หลากหลายอย่าง MVNO

คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมในวันนี้ ไม่ใช่แค่การใช้โทรศัพท์ แต่คือโครงสร้างพื้นฐานหลักของสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ กลายเป็นรากฐานสำคัญของสังคมในทุกมิติ เป็นหลักประกันในการเข้าถึงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางการสื่อสาร เศรษฐกิจ การศึกษา คุณภาพชีวิต ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันล้วนแล้วคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน หน้าที่ของ กสทช. ไม่ใช่แค่ “เปิดประมูล” แต่คือ การทำหน้าที่ “กำกับดูแล” ให้เกิดการแข่งขันที่เสรี เป็นธรรม และโปร่งใสอย่างแท้จริง เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชน

หากเรายังคงปล่อยให้กิจการโทรคมนาคมไม่มีการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมอย่างในปัจุบัน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนยิ่งทวีคูณความรุนแรง ประชาชนต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ตแพงกว่าที่ควรจะเป็น ผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีโอกาสเข้าสู่ตลาด คุณภาพบริการต่ำลงเพราะไม่มีแรงจูงใจให้พัฒนา รัฐสูญเสียรายได้จากค่าประมูลมหาศาล ทรัพยากรของชาติกลายเป็นเครื่องมือผูกขาดของทุนใหญ่และไม่ได้ใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

ดังนั้น กสทช. ต้องไม่ใช่เพียง “คณะกรรมการ” ที่นั่งอนุมัติแผนหรือจัดประมูลตามตาราง แต่ต้องทำหน้าที่อย่างจริงจังในการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างรัฐ นายทุน และประชาชน ต้องมีความกล้าในการกำกับ ตรวจสอบ และตั้งกติกาที่เป็นธรรม ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

"ขอย้ำอีกครั้งว่า หน้าที่ของ กสทช. ไม่ใช่แค่ทำให้มีการประมูล แต่คือต้องทำให้ “การประมูลนั้นเกิดการแข่งขันจริง” ผลลัพธ์ของการใช้คลื่นต้องทำให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด และมีแผนการกำกับกิจการเพื่อรองรับผลของการประมูลคลื่นความถี่ เพราะคลื่นความถี่ไม่ใช่ของ กสทช. ไม่ใช่ของรัฐ ไม่ใช่ของเอกชน แต่คือทรัพยากรของประชาชนทุกคนในประเทศนี้" น.ส.พนิดา ระบุ

  • 'รักชนก' จ่อแถลงบ่ายโมงวันนี้ ปมประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านหลัก

วันเดียวกัน ในเวลา 13.00 น. ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณี กสทช. จะจัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านหลักในวันที่ 29 มิ.ย. แต่มีข้อสังเกตว่าราคาเริ่มต้นประมูลต่ำเกินกว่าราคาที่รัฐจัดเก็บได้ในปัจจุบัน อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน เสี่ยงทำรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล อีกทั้งไม่มีหลักประกันเรื่องค่าบริการที่จะถูกลง หรือการันตีเรื่องคุณภาพให้กับผู้ใช้บริการ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ชุลมุนขณะนี้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องไม่ถูกละเลย เพราะจะกระทบต่อประชาชนแน่นอน