'มาริษ' ปัด กต.อ่อนข้อ 'กัมพูชา' เชื่อ 'ฮุน มาเนต' ไม่ปฏิเสธคุยทวิภาคี

'มาริษ' ปัด กต.อ่อนข้อ 'กัมพูชา'  เชื่อ 'ฮุน มาเนต' ไม่ปฏิเสธคุยทวิภาคี

“มาริษ” หวังกลไกทวิภาคีแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อ “ฮุน มาเนต” ไม่ปฏิเสธคุยทวิภาคี ยัน ไม่ได้อ่อนข้อ แค่เลี่ยงความสูญเสีย

เมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นทหาร และทุกส่วน จะต้องมีการประเมิน อย่างที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้พูดไปว่า ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ประเมิน ขณะนี้ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ เราจะพยายามผลักดันให้มีการหารือทวิภาคีตามนโยบายของนายกฯ เราพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้มาตรการหารือทวิภาคีเพื่อไม่อยากให้เกิดการปะทะ ซึ่งเป็นความต้องการของนายกฯอยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงให้มานั่งคุยกัน แต่เราต้องพยายาม

เนื่องจากการปะทะกันสร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นบริเวณชายแดน ไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ ทั้งสิ้น ตรงนี้คือ เป้าหมายสำคัญที่นายกฯพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ และหลีกเลี่ยงที่จะสร้างการเผชิญหน้า ไม่ต้องการเห็นความสูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าเกิดการปะทะมันเกิดความสูญเสียแน่นอน ปัจจุบันสภาวะของโลกก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้มีการสร้างข้อขัดแย้งอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลาง ก็เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งที่นายกฯพยายามทำทุกอย่างในขณะนี้คือ ผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคีให้เร็วที่สุด และเราพยายามดำเนินการอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เชื่อว่า เรายังสามารถพูดคุยกับกัมพูชาได้อยู่ใช่หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า พูดคุยได้แน่นอน เรายังคงมีช่องทางในการพูดคุยกันอยู่ตลอด เมื่อถามว่า มีข่าวว่า ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชาระบุว่า จะไม่มีการพูดคุยในเจบีซีอีกแล้ว นายมาริษ กล่าวว่า จริงๆ กัมพูชาเองก็มีพันธะกรณีที่จะต้องมาพูดคุยกัน เป็นสิ่งที่เราตกลงกันไว้ระหว่างไทยกับกัมพูชามาโดยตลอด ตรงนี้เป็นความเห็นของ ฮุน เนต ซึ่งตนเคารพความเห็นท่าน แต่ว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องรับนโยบายจากนายกฯไปดำเนินการให้เป็นผลให้ได้ โดยเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและหน้าที่ของตนที่จะต้องไปผลักดันให้เกิดการเจรจา กลไกทั้งหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีต่อกัน ไม่ได้มีแค่เจบีซี จีบีซี อาร์บีซี  เราพูดคุยกันได้ และเจรจาตกลงกันเพื่อให้มานั่งโต๊ะเจรจา 

“จริงๆ แล้วถ้าให้ผมตีความจากที่ ฮุน มาเนต พูดในหลายๆ โอกาส ผมคิดว่า ท่านไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องของการเจรจาสองฝ่ายอย่างเด็ดขาด แต่คิดว่า ท่านคงอยากที่จะเห็นว่ามันมีความคืบหน้าก่อน ซึ่งตรงนั้นมันเป็นกลไกทางการ แต่ว่า กลไกของการติดต่อทางการทูตยังคงมีอีกเยอะ สามารถคุยกันได้ สถานทูตกัมพูชาที่ประเทศไทยก็คุยกับเราได้ หรือสถานทูตไทยที่กัมพูชาก็คุยกันได้กับ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา เรายังมีช่องทางในการพูดคุยกันอย่างเต็มที่ในทุกระดับอยู่แล้ว เมื่อเราปูทางได้แล้วก็ไปทำให้ได้ผลในกลไกที่เป็นทางการ ทั้ง เจบีซี จีบีซี อาร์บีซี ได้อยู่แล้ว”นายมาริษ กล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้เอกอัครราชทูตไทยกลับไปที่กรุงพนมเปญหรือยัง หลังจากเรียกกลับมา นายมาริษ กล่าวว่า ยัง ตนยังหารือข้อราชการในหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องว่า เราจะแก้ไขกันอย่างไรเพื่อให้สองฝ่ายมานั่งคุยกันอย่างจริงจัง แม้ทูตไทยจะอยู่ที่นี่ แต่อุปทูตก็ทำหน้าที่ได้ เมื่อถามว่า การที่เราไม่ได้เรียกทูตกลับมาอย่างเป็นทางการ แต่การที่รั้งตัวทูตไว้ที่ไทยอาจถูกมองว่า เราลดระดับความสัมพันธ์ นายมาริษ กล่าวว่า ไม่ มันเป็นกลไกทางการทูตอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาตรงนี้เลย

เมื่อถามอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ต้องมีประเทศตัวกลางมาช่วยเจรจาหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ไม่จำเป็นเลย ตนเชื่อว่า เราสองประเทศสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ และ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชาเราก็ยังติดต่อกันได้ ซึ่งตนติดต่อกันเป็นประจำอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีข่าวว่า อาจจะมีการปรับ รมว.ต่างประเทศ นายมาริษ กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหาอะไรเลย

เมื่อถามย้ำว่า เราไม่ได้อ่อนข้อเหมือนข่าวที่ออกมาใช่หรือไม่ว่า เราประนีประนอมมากเกินไป นายมาริษ กล่าวว่า ไม่ใช่ ทั้งหมดตนอยากให้เข้าใจว่า เราแข็งอยู่แล้ว แต่พยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะที่จะนำไปสู่การสูญเสีย ตรงนี้เป็นนโยบายสำคัญของนายกฯที่จะต้องใช้กลไกทุกระดับทุกเรื่องเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย เพราะจะไม่เป็นผลดีกับประเทศใดเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เวทีทวิภาคีที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มีกำหนดชัดเจนหรือยัง นายมาริษ กล่าวว่า เจบีซีมีกำหนดอยู่แล้ว น่าจะประมาณเดือน ก.ย.68