‘กัมพูชา’ วางหมาก ชิงความได้เปรียบในเวทีอาเซียน สร้างภาพ ‘ไทย’ รุกราน

‘กัมพูชา’ วางหมาก ชิงความได้เปรียบในเวทีอาเซียน สร้างภาพ ‘ไทย’ รุกราน

นักวิชาการ มธ. วิเคราะห์สาเหตุ กัมพูชาใช้การทูตเชิงรุก ชิงการนำ ประกาศมาตรการก่อนไทย สร้างภาพถูกรุกราน คาดหากขัดแย้งบานปลาย อาเซียนจะเป็นตัวกลาง เผยยังไร้สัญญาณศาลโลกดำเนินการกรณี 4 พื้นที่

ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) วิเคราะห์สถานการณ์ กรณีที่ประเทศกัมพูชา ประกาศระงับนำเข้าน้ำมันและก๊าซทุกชนิดจากประเทศไทยว่า เหตุผลที่กัมพูชาต้องช่วงชิงการนำในการตัดสินใจเชิงนโยบายต่างๆ ก่อนที่ประเทศไทยจะดำเนินการ

เช่น การประกาศระงับการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซทุกชนิดจากไทยก่อนที่ไทยจะประกาศระงับการส่งออกไปยังกัมพูชานั้น ถือเป็นแนวทางการตอบโต้ที่เรียกว่าการทูตเชิงรุก เพื่อวางกรอบภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูเป็นประเทศที่มั่นคงและยึดหลักการปกป้องอธิปไตยของตนเอง มากกว่าเป็นประเทศเล็กๆ ผู้ถูกรุกราน ที่คอยตั้งรับเพียงอย่างเดียว 

และยิ่งกัมพูชาพยายามแสดงว่าการกดดันของไทยไม่เป็นผลมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ไทยต้องยกระดับมาตรการกดดันให้เข้มข้นมากขึ้นอีก ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ในสายตาของเวทีระหว่างประเทศ แต่กลับทำให้กัมพูชาดูดีในฐานะประเทศที่กำลังปกป้องอธิปไตยตนเองจากผู้รุกราน

หากไทยยกระดับมาตรการกดดันขึ้นไปเรื่อยๆ จนผลกระทบขยายตัวและลุกลามไปจนเริ่มสร้างผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่กัมพูชา เกิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจ หรือการค้าในระดับภูมิภาคอาเซียน ตรงนี้จะเป็นการตอกย้ำว่า กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ใช้ไม่ได้ผล จำเป็นต้องมีประเทศที่ 3 หรือเวทีนานาชาติในระดับอาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาหาทางออก

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง กัมพูชาจะมีภาพจำว่าเป็นผู้ปกป้องอธิปไตยของตนเองและตอบโต้ไทยอย่างมีหลักการ ขณะที่ไทยคือผู้รุกรานที่ยกระดับมาตรการกดดันจนกระทบต่ออาเซียน

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลที่กัมพูชาพยายามช่วงชิงการนำ และทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ยั่วยุ ตอบโต้ และแสดงท่าทีไม่หวั่นเกรงต่อการกดดันของไทย

นอกจากนี้ ผลดีจากการช่วงชิงการนำเพื่อวางกรอบภาพลักษณ์ของกัมพูชาคือความนิยมที่ประชาชนจะมีต่อผู้นำประเทศอย่าง ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพราะสามารถสร้างความรู้สึกฮึกเหิม ความเข้มแข็ง และตอกย้ำความเป็นชาตินิยมว่าประเทศอย่างกัมพูชาไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาไทย ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่ผู้นำทางการเมืองทั้งสองคนต้องการให้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าแนวทางที่กัมพูชากำลังดำเนินการอยู่ ไม่สามารถผลักประเด็นไปสู่ความชอบธรรมในการนำข้อพิพาทเรื่อง 4 พื้นที่ชายแดน ขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกได้

แนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด กรณีความขัดแย้งบานปลาย คือการที่เวทีระดับอาเซียนจะมาเป็นตัวกลางเท่านั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์ของศาลโลกในเวลานี้ ก็ยังไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะส่อแววว่าศาลโลกจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง แจ้งความ สมเด็จฮุน เซน กรณีอัดเสียงการสนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย จะสามารถดำเนินคดีได้จริงหรือไม่ นักวิชาการธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ตามหลักการแล้วไม่สามารถทำได้ เพราะศาลไทยมีอำนาจและสิทธิแค่ในอาณาเขตของประเทศไทย ซึ่งสมเด็จฮุน เซน อาศัยอยู่ภายนอกประเทศ 

“การดำเนินคดีกับผู้ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศนั้น จะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นให้ความยินยอมแก่อำนาจของศาลไทย หรืออีกกรณีคือการเข้าเงื่อนไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทว่า การทำเช่นนี้ทั้งสองประเทศจะต้องเล็งเห็นร่วมกันถึงความผิดที่เกิดขึ้นต่อตัวบุคคลนั้น หากหนึ่งในสองประเทศนี้ไม่เห็นด้วยว่าเป็นความผิด ก็จะไม่เข้าเงื่อนไขการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน"

"กรณีนี้ ทางการของกัมพูชาได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า การบันทึกการสนทนาเช่นนี้ เป็นแนวปฏิบัติมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เท่ากับว่าสิ่งที่สมเด็จฮุน เซน ทำนั้นไม่มีความผิดแต่อย่างใด"

"ส่วนตัวมองว่าการฟ้องร้องจากทางการของไทยและการตอบโต้กลับยื่นหนังสือทางการทูตประท้วงอย่างรุนแรงของกัมพูชาเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองเท่านั้น” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว