'พริษฐ์' กาง 5 ข้อสังเกต 'งบสำนักนายกฯ' ซ้ำซ้อน-สถานะพิเศษ-หลุมดำ

'พริษฐ์' เผยเบื้องลึกที่ประชุม กมธ.งบฯ 69 ตั้ง 5 ข้อสังเกตปมงบ 'สำนักนายกฯ' ทั้งซ้ำซ้อน - สถานะพิเศษ 'ซอฟต์พาวเวอร์' - งบประมาณหลุมดำ
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะ กมธ.งบประมาณฯ 2569 ตั้งข้อสังเกต 5 ข้อ ถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กมธ. โดยระบุว่า งบ 69 งบประมาณสำนักนายกรัฐมนตรี บอกอะไรเราเกี่ยวกับงบประมาณประเทศ โดย 5 ข้อสังเกต ตอนนี้ทาง กมธ. งบประมาณ 2569 ได้ทำงานมาครบ 2 สัปดาห์ หน่วยงานแรกระดับกระทรวงที่ได้มานำเสนอต่อ กมธ. คือ “สำนักนายกรัฐมนตรี”
นายพริษฐ์ ระบุว่า การวิเคราะห์งบสำนักนายกรัฐมนตรีมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสูงถึง 28 หน่วยรับงบประมาณ ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ (เช่น CEA / BOI / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) สังคม (เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ / OKMD) ระบบราชการ (เช่น กฤษฎีกา / DGA) และความมั่นคง (เช่น กอ.รมน. / สภาความมั่นคง) - การวิเคราะห์งบของหน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี จึงบ่งบอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในภาพรวม แม้ข้อสังเกตโดยละเอียดคงต้องรอเอกสารชี้แจงที่ผมได้ซักถามและขอจากหน่วยงานต่างๆ แตขอสรุป 5 ประเด็นสำคัญทค้นพบและคิดว่าน่าจับตามองสำหรับงบประมาณของทุกกระทรวงในปีนี้
1. การก่อสร้าง-ตกแต่ง อาคาร-สถานที่ราชการ ที่ต้องตรวจสอบให้ไม่ฟุ่มเฟือย
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่และประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง งบประมาณทุกบาทจำเป็นต้องถูกจัดสรรให้กับภารกิจที่สำคัญและเร่งด่วน หลังจากข้อมูลปรากฏเกี่ยวกับอาคาร สตง. งบประมาณส่วนหนึ่งที่สังคมเริ่มตั้งข้อสังเกตมากขึ้นว่าเราสามารถประหยัดได้ คือการก่อสร้างหรือตกแต่งอาคาร-สถานที่ราชการที่หรูหราเกินจำเป็น
แม้เราคงยังไม่สามารถฟันธงได้ทั้งหมด ณ เวลานี้ ว่ามีรายการอะไรบ้างที่สามารถปรับลดได้ เนื่องจากเราต้องรอทาง กมธ. ได้เอกสารรายละเอียดเพิ่มเติมที่ขอไป (เช่น แบบอาคาร / BOQ แสดงรายการวัสดุและราคา /) แต่ผมได้ตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นถึงบางรายการที่ผมตั้งใจจะตรวจสอบต่อโดยละเอียด เช่น
(1) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้ตั้งงบสำหรับการตกแต่งอาคารที่ทำการของกรมไว้ที่ 40 ล้านบาท ซึ่งสวนทางกับการปรับลด "เงินอุดหนุนสนับสนุนการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ" ลง 70 ล้านบาท จาก 162 ล้านบาท (งบ 68) เหลือ 92 ล้านบาท (งบ 69)
(2) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งงบสำหรับพรมทอเครื่องเส้นใยไนลอน 100% พร้อมติดตั้ง 2 รายการ ขนาด 313.40 ตารางเมตร ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ห้องประชุม 301 (1.2 ล้านบาท) และ ขนาด 414.20 ตารางเมตร ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 5 ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี 501 (1.6 ล้านบาท)
2. แพลตฟอร์มการเรียนรู้ ที่ซ้ำซ้อนแล้ว ซ้ำซ้อนอยู่ ซ้ำซ้อนต่อ
ตอนพิจารณางบ 68 ผมเคยอภิปรายไว้ในสภา ว่าหน่วยงานในประเทศเรามีปัญหาเรื่อง “ต่างคนต่างทำ” จนทำให้จำนวนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของหน่วยงานรัฐมีสูงถึงอย่างน้อง 12 แพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อน การใช้งบประมาณเกินจำเป็น รวมถึงสร้างความสับสนและความไม่สะดวกให้กับประชาชนทั่วไปที่ต้องการเข้ามาเรียน
พอมีโอกาสได้ซักถามหน่วยงานใน กมธ. งบ 69 ผมค้นพบว่าประเทศเราก็ยังคงไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในการควบรวมแพลตฟอร์มให้เหลือหนึ่งเดียว แต่กลับยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนแพลตฟอร์มมากขึ้นกว่าเดิม เช่น
(1) DGA ได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม OFOS เพิ่มขึ้นมาอีก 1 แพลตฟอร์มเพื่อรองรับคอร์สเรียนด้านซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งทำให้ DGA เองเป็นหน่วยงานที่มีถึง 2 แพลตฟอร์มการเรียนรู้เป็นของตนเอง (OFOS และ TDGA E-Learning) - แม้ DGA ชี้แจงว่า 2 แพลตฟอร์มนี้มีลักษณะกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน และมีแผนจะควบรวมให้เหลือ 1 ในอนาคต แต่แผนงานและกรอบเวลายังขาดความชัดเจน
(2) พอมีการถามว่าทำไม DGA ถึงเลือกพัฒนาแพลตฟอร์ม OFOS ขึ้นมาใหม่ แทนที่จะใช้แพลตฟอร์มของหน่วยงานอื่นที่น่าจะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน เช่น MOOC ของ สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (สป.อว.) ทาง DGA ชี้แจงว่า OFOS มีความต้องการในบางฟีเจอร์ (features) ที่ MOOC ยังไม่มี / แต่พอผมถามทาง สป.อว. ที่มาชี้แจงว่ามีอะไรที่ OFOS ทำได้ ที่ MOOC ทำไม่ได้ ทาง สป.อว. กลับเกิดข้อสงสัยเช่นกัน แต่สัญญาว่าจะส่งตารางเปรียบเทียบฟีเจอร์ของ 2 แพลตฟอร์ม กลับมาให้ กมธ.
(3) แต่นอกจาก MOOC ที่มีอยู่แล้ว สป.อว. ใน งบ 69 ยังมีการตั้งงบสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า “Skill-Credit Portfolio” มูลค่าสูงถึง 5,413 ล้านบาท (ผูกพันงบ 69-72) ซึ่งแม้จะเป็นแพลตฟอร์มที่มีฟีเจอร์หลายอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับทักษะคนไทย (เช่น การเข้าถึงเนื้อหาเรียนรู้ การสะสมผลการเรียนรู้ การเทียบโอน ระบบจับคู่คนหางานกับผู้ประกอบการ) แต่ก็นับเป็นแพลตฟอร์มที่ตั้งงบประมาณไว้สูงมาก แถมยังฟังดูแล้วมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับแพลตฟอร์ม EWE ของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ที่ได้วางรากฐานไว้ได้ค่อนข้างดีแล้ว
หากเราต้องการเห็นการควบรวมแพลตฟอร์มข้ามหน่วยงานหรือข้ามกระทรวง เราคงคาดหวังได้ยากที่จะให้หน่วยงานใดตัดสินใจด้วยตนเอง แต่ทิศทางดังกล่าวต้องมาจากฝ่ายการเมือง (โดยเฉพาะนายกฯและรองนายกฯ) ที่สามารถออกนโยบายและตัดสินใจหรือ “เคาะ” ข้ามกระทรวงได้
3. สถานะพิเศษของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์
แม้เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลจะเลือกจัดสรรงบประมาณให้กับนโยบายที่ตนเองหมายมั่นปั้นมือ แต่วิธีการในการตั้งงบประมาณสำหรับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ มีบางอย่างที่ดูมีความพิเศษหรือแตกต่างกับนโยบายอื่นๆของรัฐบาล เช่น
(1) สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (หรือ THACCA) ยังไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็นหน่วยรับงบประมาณของตนเอง จึงทำให้เราเห็นโครงการซอฟต์พาวเวอร์โผล่ขึ้นมาในงบประมาณของหลายหน่วยรับงบประมาณอื่น (เช่น OKMD / สถานบันคุณวุฒิวิชาชีพ / DGA / CEA) ซึ่งมักเป็นการผสมผสานกันระหว่างกิจกรรมเดิมที่มีการปรับชื่อโครงการ กับกิจกรรมใหม่ และก่อให้เกิดคำถามว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่หน่วยงานอยากขับเคลื่อนเอง หรือเป็น “งานฝาก” จากคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ที่กลายเป็นการแย่งชิงงบประมาณกับกิจกรรมด้านอื่นๆที่หน่วยงานจัดทำคำขอไป
(2) แม้กรมประชาสัมพันธ์มีการตั้งงบประมาณสำหรับการประชาสัมพันธ์นโยบายรัฐบาลเป็นการทั่วไปไว้อยู่แล้วทุกปี แต่ในปีนี้ ทางกรมได้มีการตั้ง “โครงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกซอฟต์พาวเวอร์” (142 ล้านบาท) แยกออกมาเป็นพิเศษสำหรับประชาสัมพันธ์นโยบายซอฟต์พาวเวอร์นโยบายเดียว โดยตั้งตัวชี้วัดในการผลิตชิ้นข่าวสูงถึง 1,429 ครั้ง (หรือเฉลี่ย 4-5 ครั้งต่อวัน)
(3) แม้กระทรวงต่างประเทศมีการตั้งงบประมาณสำหรับการจัดเทศกาลไทยในต่างประเทศไว้ในโครงการทั่วไปอยู่แล้ว 70 ล้านบาท แต่ในปีนี้ กระทรวงยังมีการตั้งงบประมาณสำหรับการจัดเทศกาลไทยใน “โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ในต่างประเทศ” อีก 100 ล้านบาท
4. หลักสูตรผู้บริหารที่ต้องระมัดระวังเรื่องระบบอุปถัมภ์
หลายหน่วยงาน มักมีการตั้งงบประมาณสำหรับหลักสูตรอบรมผู้บริหาร (ที่มักมีชื่อเป็นตัวย่อต่างๆ) หากนับเฉพาะหน่วยงานในสำนักนายกฯ เราเห็นการตั้งงบประมาณโดยหลายหน่วยงาน - เช่น หลักสูตร นปร. ของ กพร. (20 ล้านบาท) / หลักสูตร นบส. ของ ก.พ. (60 ล้านบาท) / หลักสูตร นงส. และ นงก. ของสำนักงบประมาณ (17 ล้านบาท) / หลักสูตร ป.ย.ป. ของ ป.ย.ป. (2 ล้านบาท)
แม้เจตนาของหลักสูตรเหล่านี้ อาจเน้นการยกระดับองค์ความรู้ให้กับผู้บริหารที่เข้าเรียน แต่ผมได้ขอเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร-ผู้เข้าเรียน-รูปแบบการสอน-ค่าใช้จ่าย เพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรดังกล่าว มีเนื้อหาที่คุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับเวลาทำงานที่ผู้เข้าเรียนต้องเสียไป มีรูปแบบการสอนที่ออกแบบได้ดีที่สุดแล้วหรือไม่ในการเปิดกว้างให้คนเข้าถึง และมีแนวทางที่รัดกุมแล้วหรือไม่ในการป้องกันการส่งเสริมระบบอุปถัมภ์หรือการสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะหลักสูตรที่มีภาคเอกชนมาร่วมเรียนกับเจ้าหน้าที่รัฐ
5. งบประมาณหลุมดำที่ประเมินความเหมาะสมได้ยาก
งบบางประเภทจะตรวจสอบยากเป็นพิเศษว่าถูกตั้งไว้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะ กมธ. เข้าไม่ถึงรายละเอียดว่าประกอบไปด้วยรายการอะไรบ้าง ตัวอย่างหนึ่งคือ “เงินราชการลับ” ซึ่งตั้งไว้ทั้งหมด 1,231 ล้านบาท รวมทุกหน่วยงาน (210 ล้านบาท ตั้งไว้ที่ตำรวจ / 470 ล้านบาท ตั้งไว้ที่กองทัพ / 551 ล้านบาท ตั้งไว้ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อกระจายไปตาม 17 หน่วยงานพลเรือน)
แม้เราเข้าใจดีว่างบลับเป็นงบที่ถูกออกแบบไว้ให้เป็นความลับด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคง แต่ผมและพรรคได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ว่าเพื่อให้เกิดความรับผิดรับชอบในการตั้งงบ งบลับทั้งหมดควรมี “วันหมดอายุความลับ” ที่กำหนดไว้ว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลในอนาคตหลังเวลาผ่านไปแล้วกี่ปี ในวันที่ข้อมูลดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเป็นความลับเพราะเหตุความมั่นคงอีกต่อไป
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ “ค่ารับรอง” ซึ่งตั้งไว้รวมกันทั้งหมด 356 ล้านบาทรวมทุกหน่วยงาน โดยเป็นที่สังเกตว่า “ค่ารับรองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” เพิ่มขึ้นเกินเท่าตัว (+137%) จาก 5.2 ล้านบาท (งบ 68) มาเป็น 12.4 ล้านบาท (งบ 69)
แม้ค่ารับรองเป็นค่าดูแลหรืออำนวยความสะดวกแขก ซึ่งไม่ได้เป็นความลับเหมือนกับเงินราชการลับ แต่งบดังกล่าวไม่ได้มีการจำแนกรายละเอียดที่ชัดเจนในการตั้ง ผมจึงได้ขอเอกสารเกี่ยวกับ “ค่ารับรอง” ที่ถูกใช้จ่ายจริงย้อนหลัง เพื่อประเมินความคุ้มค่า ในอนาคต จะพยายามหาเวลามาเขียนสรุปงบประมาณของกระทรวงอื่นๆที่น่าสนใจ
ภาพและข้อมูลจาก: พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu







