ควันหลงเขย่า ครม.ทวงคืน มท. บ่วง‘อัลไพน์’ หลอน‘แพทองธาร’

ควันหลงเขย่า ครม.ทวงคืน มท. บ่วง‘อัลไพน์’ หลอน‘แพทองธาร’

เงื่อนปมการโอนหุ้น “อัลไพน์” เป็น 1 ในหุ้นที่ “นายกฯอิ๊งค์” โอนให้กับ “มารดา-เครือญาติ” จนนำไปสู่การตรวจสอบของ “ฝ่ายค้าน” ปม“ตั๋ว PN” ที่ยังไม่เสียภาษีรับให้อยู่ขณะนี้

KEY

POINTS

  • ปรากฎการณ์สำคัญ 1.กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี กับ "สมเด็จฮุน เซน" อดีตผู้นำกัมพูชาผู้มากบารมี ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนในประเทศเกิด "วิกฤติศรัทธา" กับรัฐบาล จี้นายกฯยุบสภา
  • ความพยายามในการทวงคืน "กระทรวงมหาดไทย" ของ "พรรคเพื่อไทย" ในการ “ปรับ ครม.” ที่ล่าสุด “ค่ายสีน้ำเงิน” เซย์โน พร้อมประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
  • รัฐบาลยังตัดสินใจ "เดินหน้าต่อ" ผนึกพรรคร่วมรัฐบาลเดิม+งูเห่า ดัน 270 เสียง คงสถานะ "แพทองธาร" เป็นนายกฯเช่นเดิม
  • เงื่อนปมที่น่าสนใจในการทวงคืน “มหาดไทย” อาจเกี่ยวเนื่องถึงการเข้าถึงข้อมูลคดี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ที่เป็นชนักปักหลัง “นายกฯ-คนตระกูลชินวัตร”
  • จับตาปม "อัลไพน์" ฟ้องเรียกค่าเสียหายคืน - ปมโอนหุ้นพัน "ตั๋ว PN" ที่ถูกร้องให้วินิจฉัยการจ่ายภาษีอยู่ในตอนนี้

อุณหภูมิการเมืองยังคงร้อนฉ่าทุกองศา พลันเกิด 2 ปรากฎการณ์สำคัญ 1.กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี กับ "สมเด็จฮุน เซน" อดีตผู้นำกัมพูชาผู้มากบารมี ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนในประเทศเกิด "วิกฤติศรัทธา" กับรัฐบาล จี้นายกฯยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ เข้าทาง "ฝ่ายอนุรักษนิยม" นัดรวมพลลงถนน 28 มิ.ย. แสดงพลังขับไล่นายกฯ

2.ความพยายามในการทวงคืน "กระทรวงมหาดไทย" ของ "พรรคเพื่อไทย" ในการ “ปรับ ครม.” ที่ล่าสุด “ค่ายสีน้ำเงิน” เซย์โน พร้อมประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล และสบโอกาสเอาปม "คลิปเสียงฉาว" มาขยี้ซ้ำรัฐบาลอยู่ในตอนนี้

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของ "สว.สีน้ำเงิน" ถึงเวลาเอาคืน นำปมคลิปเสียงฉาวข้างต้น ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ไต่สวนว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง "แพทองธาร" ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯหรือไม่

ทว่ารัฐบาลยังตัดสินใจ "เดินหน้าต่อ" ผนึกพรรคร่วมรัฐบาลเดิม+งูเห่า ดัน 270 เสียง คงสถานะ "แพทองธาร" เป็นนายกฯเช่นเดิม

เงื่อนปมที่น่าสนใจในการทวงคืน “มหาดไทย” ดังกล่าว นอกเหนือจากการ “กระชับอำนาจ” ของ “ค่ายสีแดง” ที่ต้องการควบคุม “กลไกท้องถิ่น” แบบเบ็ดเสร็จ อย่างที่ “ค่ายน้ำเงิน” เคยวางเครือข่ายไว้ก่อนหน้านี้ ยังอาจเกี่ยวเนื่องถึงการเข้าถึงข้อมูลคดี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ที่เป็นชนักปักหลัง “นายกฯ-คนตระกูลชินวัตร” ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “มหาดไทย” ด้วย

เพราะล่าสุด มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ สำนักงาน กกต.ได้เชิญ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีต สว.และอดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าชี้แจง กรณีกล่าวหา “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ กรณีถือครองหุ้น “อัลไพน์” เมื่อ 16 ส.ค.-3 ก.ย. 2567 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า เข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่

แม้ว่า “อนุทิน” จะให้สัมภาษณ์ตอบคำถามนักข่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยอยากได้ มท.เพราะคดีนี้ ว่า "อุ้ย อย่างนั้นไม่ได้นะ ยิ่งถ้ามีปัญหาแล้วไปทำอย่างนี้ ผมคิดว่าระบบราชการไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ผมเองยังช่วยคนที่รู้จัก หรือคนอะไรมาไม่ได้สักเรื่องเลย กระทรวงมหาดไทยไม่เคยช่วยอะไรเลย"

มท.หนู ยังปฏิเสธ ถึงข้อสังเกตการใช้ประเด็นนี้ต่อรองตำแหน่ง โดยยืนยันว่า "ไม่มีๆ รับรองไม่มีเลย เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำรงตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาล"

สำหรับ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นของ “ตระกูลชินวัตร” เป็นปัญหาคาราคาซังมายาวนานหลายสิบปี เนื่องจากมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินผืนดังกล่าวเป็น “ธรณีสงฆ์” จะต้องคืนที่ดินให้กับวัด 

ความคืบหน้าล่าสุดเรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งนั่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีอุทธรณ์เพื่อให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 2308/2544 ที่ให้เพิกถอนที่ดินที่ตั้งของสนามกอล์ฟอัลไพน์นับพันไร่ กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด เจ้าของ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ได้ยื่นฟ้องกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ปทุมธานี สาขาคลองหลวง กับศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน 2308/2544 และคำสั่งทางปกครองอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการเพิกถอนโฉนดสนามกอล์ฟ ให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์อีกครั้ง

ประเด็นที่น่าสนใจ เรื่องนี้ถูกนำมาปัดฝุ่นรื้อฟื้นอีกครั้งสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรืองอำนาจ ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยออกคำสั่งตั้งกรรมการยกร่างกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาโอนกรรมสิทธิ์ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หมายถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในโครงการ

เรื่องนี้ดำเนินการเรื่อยมาเป็น “หนังสือลับ” ต่อเนื่องถึงรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” โดย “ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช.มหาดไทย (ขณะนั้น) มีบันทึกลงวันที่ 3 ก.ย.2567 (3 วันก่อนชาดาพ้นตำแหน่ง) ไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของ “ยงยุทธ” และให้กระทรวงมหาดไทย วินิจฉัยอุทธรณ์ใหม่ ให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน กลับมามีผลบังคับใหม่ โดยอ้างถึงความเห็นกฤษฎีกา และศาลได้มีคำวินิจฉัยว่า ที่ดินเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซื้อขายไม่ได้

ต่อมาในยุค “รัฐบาลแพทองธาร” มีรายงานข่าวว่า ชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เซ็นเพิกถอนการจดทะเบียนฯ และนิติกรรมต่างๆ ในที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของกรมที่ดิน ซึ่งเคยประเมินค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้น (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ย.2567) โดยมูลค่าตามราคาตลาดโดยการประมาณ และทุนทรัพย์จำนองอยู่ที่ 7,700 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี “หน้าฉาก” ที่ผ่านมา “ค่ายสีน้ำเงิน” ซึ่งคุม “กระทรวงคลองหลอด” พยายาม “อุ้มนายกฯ” มาโดยตลอด เนื่องจากเคยปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท อัลไพน์ฯ ท่ามกลางกระแสข่าวดีลแลกกันกับการคอยให้ข้อมูล-ดูแลเรื่อง “เขากระโดง” ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ “คมนาคม” ซึ่งมี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย กำกับดูแลอยู่

โดยกรมที่ดิน เคยออกเอกสารข่าวชี้แจงว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใดซึ่งสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ณ ขณะนั้นเมื่อมีการรับโอนหุ้นดังกล่าว สถานะของที่ดินที่เป็นประเด็นยังไม่ถูกเพิกถอน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย

ทว่าสุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินมาถึง “จุดแตกหัก” ในเงื่อนปม “ฮั้ว สว.” ที่ “นายใหญ่” เดินเกมบดขยี้ “ครูใหญ่” แบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ถึงขนาดยื่นคำขาด ถ้าไม่คืน มท.จะปรับให้พ้นจากรัฐบาลเลยทีเดียว 

กลับมาที่ประเด็น “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วว่า คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินดังกล่าว (ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์) ที่เป็นข้อพิพาทนี้ เป็นคำสั่งที่ถูกต้องด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริงแล้ว ประกอบกับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ระบุว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของวัด และธรณีสงฆ์ทันทีที่นางเนื่อมเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่มีการโอนชื่อให้เป็นของวัดก็ตาม อีกทั้งยังพบว่า วัดได้ปล่อยเช่าที่ดินที่ได้รับจากนางเนื่อมเพื่อให้เกิดดอกออกผล และยังไปจดทะเบียนแล้วว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์

ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ต้องตามต่อไปมี 2 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ 1.กรณีเพิกถอนโฉนดที่ดินนับพันไร่ของสนามกอล์ฟอัลไพน์ โดยรัฐจะต้องจ่ายเงินเยียวยาราว 7.7 พันล้านบาท เบื้องต้น บริษัท อัลไพน์ฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอคุ้มครองชั่วคราว และขอให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนที่ดินดังกล่าวแล้ว

2.กรณีนี้สำคัญ และน่าจับตา กรณี “แพทองธาร ชินวัตร” ถือครองหุ้น “อัลไพน์” ภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯคนที่ 31 ก่อนจะโอนหุ้นดังกล่าวให้แก่ “มารดา” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จำนวน 22,410,00 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท เมื่อ 18 ส.ค. 2567 ซึ่งถูก “เรืองไกร” ร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบไปแล้วข้างต้น

เงื่อนปมการโอนหุ้น “อัลไพน์” เป็น 1 ในหุ้นที่ “นายกฯอิ๊งค์” โอนให้กับ “มารดา-เครือญาติ” จนนำไปสู่การตรวจสอบของ “ฝ่ายค้าน” อย่าง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กรณี “ตั๋ว PN” ที่ไม่เสียภาษีรับให้อยู่ในขณะนี้

ทั้งหมดคือข้อเท็จจริงเรื่อง “อัลไพน์” ที่ผ่านมาหลายสิบปี แต่ยังคงตามมาหลอกหลอน “ตระกูลชินวัตร” บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร คงต้องรอการนับหนึ่งของผลคำพิพากษาในศาลปกครองเสียก่อน