‘อังเคิล & หลานอิ๊งค์’ เอฟเฟกต์ ‘นิติสงคราม’ ขยี้ ‘ชินวัตร’

‘อังเคิล & หลานอิ๊งค์’ เอฟเฟกต์  ‘นิติสงคราม’ ขยี้ ‘ชินวัตร’

“อังเคิล ฮุน เซน” แอนด์ “หลานอิ๊งค์” เอฟเฟกต์!  เล่ห์ลึก - เหลี่ยมร้าย  สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา งัดกลยุทธ์ “คอลเซนเตอร์” 

KEY

POINTS

  • เกิดคำถามว่า การเมืองดำเนินไปสู่จุดที่สุกงอมแล้วหรือไม่? โอกาสเกิด “รัฐประหาร” ขึ้นเป็น ครั้งที่ 14 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็นครั้งที่ 3 ในรัฐบาลภายใต้ “ร่มเงาชินวัตร” จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?
  • สัญญาณจาก “กองทัพ” ล่าสุด สยบข่าวลือรัฐประหารพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่
  • ในมิติการเมือง และความมั่นคงในเวลานี้ ยังอาจมีความต่างกับการเมืองยุค 2557 ที่มีการรัฐประหารครั้งล่าสุด หรือการเมืองในอดีต โดยเฉพาะประเด็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง “2 กลุ่ม” เวลานี้อาจยังไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว 
  • ที่มองข้ามไม่ได้คือ “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ ถูกจับตาว่า อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจนำไปสู่สัญญาณล้างกระดาน หรือเรียกว่าเป็น “รัฐประหารเงียบ” นั่นเอง
  • ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ กรณีคณะกรรมการป.ป.ช.รับไต่สวนกรณีที่คณะรัฐมนตรี สส. และ สว. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 68 ที่มีการโยกงบไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงินหมื่น) ที่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

“อังเคิล ฮุน เซน” แอนด์ “หลานอิ๊งค์” เอฟเฟกต์!  เล่ห์ลึก-เหลี่ยมร้าย  สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา 

งัดกลยุทธ์ “คอลเซนเตอร์” ปล่อยคลิปสนทนาส่วนตัวระหว่าง “อังเคิล” และ “หลานอิ๊งค์”  แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม ลาก “กล่องดวงใจชินวัตร” เข้าสู่กองไฟ

เสียงเรียกร้องจากทุกภาคส่วนทวงถามถึงการแสดงความรับผิดชอบในฐานะ “ผู้นำฝ่ายบริหาร” ทั้ง “ยุบสภา”  และ “ลาออก” ดังก้องขึ้นพร้อมแฮชแท็ก #Saveแม่ทัพภาค 2  

ไม่ต่างจาก “นิติสงคราม” ที่กำลังตามไล่ล่า “แพทองธาร” ท่ามกลางข้อถกเถียงประเด็นความชอบด้วยกฎหมาย ผ่านทุกช่องทาง  ยังเป็นจังหวะเดียวกับเกมผสมโรงของบรรดา “นักร้อง-นักเคลื่อนไหว-ฝ่ายแค้น” เปิดเกมแรง-เดินเกมเร็ว ใช้ทุกองคาพยพที่มีในมือ ทั้งการเปิดเวทีถก รวมถึงยื่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามกฎหมาย 

ทั้ง กรณีที่ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ฐานะประธาน กมธ. พร้อมด้วย สว.จำนวนหนึ่ง ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี

โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าว  เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิด ต่อรัฐธรรมนูญ หลายมาตรา เช่น มาตรา 5 ว่าด้วยหน้าที่ของบุคคลที่ต้องปกป้อง พิทักษ์เกียรติภูมิ ผลประโยชน์ชาติ มาตรา 52 ว่าด้วยการพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต มาตรา 164 (1) ว่าด้วยการใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน มาตรา 160 (4) และ (5) ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงผิดประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 หมวด 3 ว่าด้วยความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และ มาตรา 157

‘อังเคิล & หลานอิ๊งค์’ เอฟเฟกต์  ‘นิติสงคราม’ ขยี้ ‘ชินวัตร’

“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือเพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตรวจสอบ

“แพทองธาร” ว่ามีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่

เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ คมจ.2/2566 ที่วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง ตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 ทั้งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้คัดค้านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

เพราะอาจทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเป็นการก่อให้ความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17

หรือแม้แต่ “ศรีสุวรรณ จรรยา” ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวน กรณีนายกรัฐมนตรีจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ ถือเป็นการทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในแผ่นดิน

อีกทั้งกระทำการเป็นปรปักษ์ต่อแผ่นดิน อันอาจทำให้อำนาจอธิปไตยของชาติเสื่อมเสียไปได้ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 มาตรา 120 ประกอบมาตรา 128 อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรโดยชัดแจ้ง

‘อังเคิล & หลานอิ๊งค์’ เอฟเฟกต์  ‘นิติสงคราม’ ขยี้ ‘ชินวัตร’

แน่นอนว่า ท่ามกลางสัญญาณการเมืองที่เต็มไปด้วย “ไฟร้อน” ทั้งศึกการเมืองภายในขั้วรัฐบาลที่ส่งสัญสัญญาณแตกหักระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน สอดรับกับจังหวะของเกมเคลื่อนมวลชนผ่านการจุดกระแสรักชาติ เปิดเกมล้มรัฐบาลไม่ต่างจากสารพัดนิติสงครามที่กำลังดำเนินอย่างต่อเนื่องในเวลานี้

เกิดคำถามว่า การเมืองดำเนินไปสู่จุดที่สุกงอมแล้วหรือไม่? โอกาสเกิด “รัฐประหาร” ขึ้นเป็นครั้งที่ 14 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็นครั้งที่ 3 ในรัฐบาลภายใต้ “ร่มเงาชินวัตร” จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?

สัญญาณจาก “กองทัพ” ล่าสุด ที่ดูเหมือนจะออกแนวสยบข่าวลือรัฐประหาร ทั้งในส่วนของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ขอให้คนไทยได้เชื่อมั่นในกองทัพบก ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่

ไม่ต่างจาก “กองทัพอากาศ”  มีการโพสต์ข้อความว่า กองทัพอากาศ จะยึดมั่นปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบแนวทางของทหาร เพื่อ “รักษาอธิปไตยของชาติอย่างเข้มแข็ง” ในทุกสถานการณ์ พร้อมติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ทหารมีไว้เพื่อปกป้องอธิปไตย

ขณะเดียวกันมีการประเมินจาก “นักวิชาการ” รวมถึง “บุคคล”  ที่คลุกคลีสัมผัสในแวดวงความมั่นคง มองว่า ในมิติการเมือง และความมั่นคงในเวลานี้ ยังอาจมีความต่างกับการเมืองยุค 2557 ที่มีการรัฐประหารครั้งล่าสุด หรือการเมืองในอดีต โดยเฉพาะประเด็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง “2 กลุ่ม” เวลานี้อาจยังไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว 

แต่กระนั้นจะมีปัจจัยแทรกซ้อน หรือปัจจัยที่เหนือความคาดหมายหรือไม่ ยังต้องลุ้นอีกหลายฉากหลายตอน 

ที่มองข้ามไม่ได้คือ “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ ถูกจับตาว่า อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจนำไปสู่สัญญาณล้างกระดาน หรือเรียกว่าเป็น “รัฐประหารเงียบ” นั่นเอง

อย่าลืมว่า เวลานี้ไม่ได้แค่ประเด็นไทย-กัมพูชา แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีสารพัดปมร้อนที่กำลังลาก “นายกฯ อิ๊งค์” เข้าสู่ “เกมนิติสงคราม”

ไม่ว่าจะเป็นกรณีโอนหุ้นของ“นายกฯ อิ๊งค์” โดยใช้  “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ “ตั๋ว PN” ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัว ประเด็นนี้ถูกล็อกเป้าจากฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา 

กรณีการถือหุ้น “รีสอร์ตหรู” เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ กรณี “ที่ดินอัลไพน์” ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวชินวัตร ซึ่งล่าสุดกระทรวงมหาดไทย ลงนามคำสั่งเพิกถอน เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา

ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ กรณีคณะกรรมการป.ป.ช.รับไต่สวนกรณีที่คณะรัฐมนตรี สส. และ สว. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่มีการโยกงบไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงินหมื่น) ที่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ซึ่งระบุว่าห้ามกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย

กรณีนี้มีการประเมินถึงฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด คือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และส่งศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลมีคำวินิจฉัยว่า ผิดตามมาตรา 167(4)  จะส่งผลให้ ครม.ต้องพ้นสภาพทั้งคณะ และจะไม่สามารถรักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่ต่อเพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ อีกทั้งยังอาจลามไปถึงสมาชิกที่ร่วมลงมติกฎหมายฉบับดังกล่าวอีกด้วย 

ประเด็นนี้ต่างหาก ซึ่งถูกมองว่า จะเป็นจุดพลิกสำคัญ หากคำตัดสินออกมาเป็นลบ หรือที่เรียกว่า “รัฐประหารเงียบ” นั่นเอง

ต้องจับตาสารพัด “ไฟร้อน” ที่ส่งสัญญาณลาก “กล่องดวงใจชินวัตร” เข้าสู่กองไฟในเวลานี้ บทสรุปจะเป็นอย่างไร อีกไม่นานจะได้รู้กัน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์