'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

การสลัด "ภท." ทิ้ง ชัดเจนว่า "รัฐบาล" จะเขยื้อนสู่ "เสียงข้างมากปริ่มน้ำ" ทำให้งานสภาเผชิญปมยาก และท่ามกลางศึกหลายด้าน "แพทองธาร" นั้นถูกเข็นสู่ปากเหวการเมืองแล้ว

KEY

POINTS

 Key Point :

  • จังหวะที่ "รัฐบาล-เพื่อไทย" เลือกทิ้ง "พรรคภูมิใจไทย" เพราะทวงเก้าอี้ "มท. 1" ไม่ได้
  • ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลง เรื่อง ตัวเลขคณิตศาสตร์การเมือง เกิดขึ้นทันที
  • เมื่อเช็กรายละเอียด ทั้ง "ฝ่ายค้านเนื้อแท้" และ "ฝ่ายรัฐบาล" พ่วง "งูเห่า" พบว่า รัฐบาลได้เปรียบ ไม่กี่สิบเสียง
  • แม้ "รัฐบาล" จะกุมอำนาจบริหารเต็มมือ แต่งานสภาฯ นั้นไม่ง่ายในภาวะ "เสียงข้างมากปริ่มน้ำ"
  • ขณะที่ สภาฯ ใกล้เปิดสมัยประชุม แรงกดดัน จะถาโถมใส่ "แพทองธาร" แบบไม่ยั้ง
  • การเดินเกมเลือกทิ้ง "ภูมิใจไทย" พ่วงกับสถานการณ์ที่ "รัฐบาล" ยังมีศึกหลายด้านรุมเร้า เท่ากับว่า "รัฐบาล-ลูกสาว" ถูกเข็นสู่ปากเหวการเมืองแบบเต็มตัว

สถานการณ์การเมืองยามนี้ ถูกขับเคลื่อนไปในทาง “การเปลี่ยนแปลงตัวเลขทางคณิตศาสตร์” หลังศึกระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” มีความแตกหัก ที่ชัดเจน

แม้ว่า “แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ” ฐานะผู้มีอำนาจเต็มในการปรับ-เปลี่ยน องคาพยพของ “คณะรัฐมนตรี” ไร้ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการ แต่ความเคลื่อนไหวที่ส่งผ่านมาจาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่มีสถานะ “มิตรเทียม” ให้คำตอบชัด คือ “พร้อมเป็นฝ่ายค้าน” หากเก้าอี้ “มท.1” ถูกเขยื้อน

สิ่งที่ถูกจับตากันอย่างมาก อนาคตของรัฐบาล-แพทองธาร จะอยู่อย่างไร ในสภาพ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ที่แม้มีอำนาจบริหารเต็มไม้เต็มมือ ทว่า “งานนิติบัญญัติ” ที่ถือเป็นหัวใจของการอยู่อย่างมั่นคง และมีเสถียรภาพทางการเมือง มีจุดเสี่ยง

เพราะในประวัติศาสตร์ทางการเมือง มีเรื่องที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า รัฐบาลปริ่มน้ำ นั้น “อยู่ลำบาก”

'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

ปัจจุบัน สภา มี สส. ในสภาฯ ​ทั้งสิ้น 495 คน เป็นสัดส่วนของ “ฝ่ายค้าน” โดยเนื้อแท้ 163 เสียง ได้แก่ พรรคประชาชน 142 เสียง จากทั้งหมด 143 เสียง (กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี ประกาศร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม) พรรคพลังประชารัฐ 19 เสียง จากทั้งหมด 20 เสียง (กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ พร้อมไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม) พรรคเป็นธรรม 1 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 1 เสียง จาก 6 เสียง คือ ชัชวาลย์ แพทยาไทย (ส่วนอีก 5 คนไปร่วมงานกับ พรรคภูมิใจไทย 2 คน พรรคเพื่อไทย 3 คน)

ขณะที่ สัดส่วนของ “ฝ่ายรัฐบาล” มี 257 เสียง คือ พรรคเพื่อไทย 142 เสียง พ่วง 3 สส.งูเห่าจาก พรรคไทยสร้างไทย คือ รำพูล ตันติวณิชชานนท์ - ฐากร ตัณฑสิทธิ์-สุภาพร สลับศรี
'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง พ่วงกับ 3 สส.งูเห่า จาก พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง พรรคประชาชน 1 เสียง และพรรคพลังประชารัฐ 1 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 21 เสียง (ไม่นับรวม ชวน หลีกภัย-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-บัญญัติ บรรทัดฐาน และ สรรเพชญ บุญญามณี ที่ไม่สามารถกำกับเสียงได้)

'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง และพรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง

ขณะที่ ขั้วน้ำเงิน มี 71 เสียง ประกอบด้วย “พรรคภูมิใจไทย” มี 69 เสียง พ่วงกับ 2 สส. งูเห่าจากพรรคไทยสร้างไทย คือ หรั่ง ธุระพล และ อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ และยังมีฝ่ายสนับสนุนใน “ฝั่ง สว.” อีกกว่า 143 เสียง

ดังนั้น ในสมการแยกทางกันเดินระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” เท่ากับ ฝ่ายค้านจะถูกอัปเกรดเป็น 234 เสียงทันที ทำให้มีระยะห่างจากเสียงรัฐบาลเพียง 23 เสียงเท่านั้น ทว่าในระยะห่างที่ว่านั้น “ฝ่ายเสียงข้างมาก” มี สส.ที่พ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่อีกถึง 10 คน 'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

เท่ากับว่า หากฝ่ายรัฐบาลไม่คุมเสียงให้ได้ และเสถียรภาพงานสภาฯ ให้ดี อาจถูกเล่นเกม “ล่มประชุม”  จนไม่เป็นอันทำงาน

หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ “ล้มกฎหมายสำคัญ” ที่อาจเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ “แพทองธาร” ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมการเมือง คือ เลือก ยุบสภา หรือลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เช่น ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี  ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...

ดังนั้นหาก “คีย์แมนเพื่อไทย” กล้าอย่างไม่หวั่นไหวต่อเสียงปริ่มน้ำที่อาจพลาดท่าเสียที “ฝ่ายค้าน” ในสภาฯ และเดินหน้าลุยเป็น “รัฐบาล 257 เสียง”

สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ แรงบีบทางการเมือง โดยทันทีที่สภาผู้แทนราษฎร เปิดสมัยประชุม ในวันพฤหัสบดี ที่ 3 ก.ค.68 นี้ วาระร้อนที่จ่อเข้าสู่วาระคือ การลงมติเพื่อยืนยันต่อการแก้ไข “ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ” ที่ลดเกณฑ์การผ่านประชามติแก้รัฐธรรมนูญด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น ให้เป็นชั้นเดียว คือ “เสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิ”

'พท.' เลือก ‘รัฐบาลปริ่มน้ำ’? เข็น ‘แพทองธาร’ สู่ปากเหว

ที่ขณะนี้ได้ครบ 180 วันของการยับยั้ง ตามกระบวนการกำหนดให้สภาฯ ต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณา แม้ไม่ได้กำหนดว่า “ต้องทันทีทันใด”

ด้วยแรงกดดันทั้งจาก “พรรคประชาชน” และ “ภาคประชาสังคม-กลุ่มประชาชน” ที่อยากเห็นจุดเริ่มต้นของการ “รื้อรัฐธรรมนูญ 2560” ได้เริ่มเสียที หลังจากที่ถูกเตะถ่วงโดยแทกติกทางกฎหมายมากว่า 2 ปี

ทั้งนี้ “ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ” ที่แก้ไขด้วยเกณฑ์เสียงข้างมาก ถือเป็น “ชนวนปลดล็อก” ที่ปูทางไปสู่การ แก้รัฐธรรมนูญได้ ดังนั้น “พรรคประชาชน” คงไม่อาจรีรอแม้แต่วินาทีเดียวได้ เพราะเท่ากับว่า เป็นการเผาเวลาแก้รัฐธรรมนูญให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์

และด้วยภาวะที่ “เพื่อไทย” ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเช่นกัน การจับมือเพื่อเดินเครื่องอาจเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เว้นแต่ว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” และ “ว่าที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ยังมีความเห็นคัดค้าน

จึงอาจเป็น ปัจจัยอีกเรื่องที่ทำให้ “ว่าที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” เจอภาวะยากลำบาก ต่อเนื่องกันไป คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่แม้จะรอคำวินิจฉัยถึงจำนวนครั้งประชามติจากศาลรัฐธรรมนูญ แต่ด้วยเวลาที่งวดเข้ามา เชื่อว่าจะมีแรงกดดันให้ “เพื่อไทย” ต้องเลือกเปิดดีลกับ “พรรคส้ม” เพื่อประคองตัวเองไปให้รอดในงานนิติบัญญัติ

นอกจากนั้น แล้วยังมีกฎหมายนโยบายที่รัฐบาลต้องการผลักดัน เช่น ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร  ซึ่งผูกพ่วงกับ “ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือ ร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุข” ที่ต้องจับตา

ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง “พรรคการเมือง” ที่รอวันขยายผล เล่นเกมรบในสภา และ “รัฐบาล” ถูกบีบด้วยศึกรอบด้าน ทั้ง ศึกการเมือง ศึกปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง และศึกนอกประเทศ

ดังนั้นสิ่งที่ “เพื่อไทย” เลือกเส้นทางนี้ มองเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า จงใจ เข็น “แพทองธาร” ไปสู่จุดปากเหวการเมือง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์