จับสัญญาณ ‘รัฐประหารเงียบ’ ‘นิติสงคราม’ ฉากล้างกระดาน

จับสัญญาณ ‘รัฐประหารเงียบ’ ศึกการเมืองอลหม่าน ‘นิติสงคราม’ ฉากล้างกระดาน ครึ่งเทอมรัฐบาล ‘ศึกพรรคร่วม’ นับถอยหลังจุดแตกหัก ?
KEY
POINTS
- สถานการณ์ที่รุมเร้า จริงอยู่แม้ตามความตั้งใจเดิมของ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะย้ำหลายครั้งหลายครา จะกอดคอประคับประคองพรรค “10 พรรคร่วมรัฐบาล” ไปจนครบเทอม ทว่าสารพัดปัจจัยในเวลานี้กว่าจะผ่านพ้นอีก 2 ปีที่เหลืออาจยังต้องฝ่าหลากหลายขวากหนามที่รออยู่เบื้องหน้า
- กระแส “สัญญาณล้มกระดาน” โดยใช้ “นิติสงคราม” เปลี่ยนเกม หรือเรียกว่า “รัฐประหารเงียบ” อาจมองข้ามไม่ได้
- สัญญาณการเมืองท่ามกลางความอลหม่านปั่นป่วนในเวลานี้ทั้งศึกใน-ศึกนอกที่กำลังรุกเร้า อีกไม่นานอาจได้เห็น “จุดเปลี่ยน” รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นได้
ครึ่งเทอมรัฐบาลหลากหลายสถานการณ์ที่รุมเร้า จริงอยู่ แม้ตามความตั้งใจเดิมของ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ที่ย้ำหลายครั้งหลายครา จะกอดคอประคับประคอง“10 พรรคร่วมรัฐบาล” ไปจนครบเทอม
ทว่า สารพัดปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประเด็น “เศรษฐกิจ” ท่ามกลางความผันผวนทั้งใน และนอกประเทศ ไม่ต่างจาก “การเมือง” ที่กำลังเปิดฉากรบกันไปมา กว่าจะผ่านพ้นอีก 2 ปีที่เหลือ อาจยังต้องฝ่าหลายขวากหนามที่รออยู่เบื้องหน้า
ข่าวคราว “ปรับ ครม.” ท่ามกลางความปั่นป่วนในซีกรัฐบาล จนถึงเวลานี้ยังคงสะท้อนว่า ต่างฝ่ายต่างถือไพ่ต่อรองไว้อีกหลายใบ
ไม่ว่าจะเป็นสงคราม “แดง-น้ำเงิน” ที่นับวันจะยิ่งเห็นสัญญาณร้าวระหว่าง “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ปฏิบัติการหักดิบยึดคืนกระทรวงมหาดไทย กลับไปอยู่ในการดูแลของพรรคแกนนำ ตามบัญชา “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่เพื่อไทย
แถมบรรดาพลพรรคเพื่อไทย ยังออกอาการรับลูกท้าทาย “ถ้าไม่สบายใจก็ออกไป”
ย่อมทิ้งไว้ซึ่งบาดแผลลึกในใจให้กับ “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่สีน้ำเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
สัญญาณรุกกลับจากฝั่งสีน้ำเงิน ทั้งการปล่อยภาพร่วมวงกินข้าวระหว่าง “ครูใหญ่” สีน้ำเงิน พร้อมแกนนำซุ้มมะขามหวาน สันติ พร้อมพัฒน์ และ “นายกด๊อยซ์” อัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ สื่อนัยการปิดดีล “ดูด สส.กลุ่มมะขามหวาน” 6 คน
หรือการลงพื้นที่ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่อุดรธานี วันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย.68 แถมเปิดตัว "อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์" สส.อุดรธานี พรรคไทยสร้างไทย และ "หรั่ง ธุระพล" 2 สส.ไทยสร้างไทย ที่เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
มุมหนึ่งตีความว่า เป็นการโชว์ตัวเลขเพื่อวัดใจ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทว่าในแง่ต่อรอง จะมีพลังมากแค่ไหนยังต้องลุ้น หรือสุดท้ายจะเป็นแค่เกมขู่
สูตร “น้ำเงิน” จับมือ “ส้ม” ที่ถูกโยนหินถามทางโดย “อนุทิน” ประกาศพร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากถูกยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ที่แม้ภายหลังจะมีการแก้เกี้ยวว่า เป็นการถามนำของนักข่าว
แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 29 พ.ค.68 ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 “อนุทิน” เคยให้สัมภาษณ์ทำนองเดียวกัน ถึงโอกาสจับมือพรรคประชาชน “หากอนาคตนโยบายไปกันได้ ก็ไม่ควรมีข้อจำกัด”
มีการวิเคราะห์ว่า การประกาศตัวของภูมิใจไทยอ่านเกมได้ 2 ทาง
1. ภูมิใจไทยแค่ขู่ เพื่อวัดใจว่า “นายใหญ่” จะกล้าผลักภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ เพราะด้วยสมการรัฐบาล 324 เสียง ท่ามกลางความปั่นป่วนในเวลานี้ หากมีการผลักพรรคใดพรรคหนึ่งออก ต้องมั่นใจถึงจำนวนเสียงที่เหลืออยู่ เพื่อไม่ให้เจอเกมตลบหลังเอาคืนในภายหลังได้
ขณะที่ "นายใหญ่" ที่แสดงอาการแข็งขืน ยึดคืนมหาดไทย อาจเป็นเพราะประเมินว่า ไม่มีทางที่ภูมิใจไทยจะยอมเป็นฝ่ายค้าน เพราะปัจจุบันมี “แผลการเมือง” มากอยู่แล้ว โดยเฉพาะคดีฮั้ว สว.ซึ่งถูกขยายผลไปถึงคดียุบพรรค ที่เริ่มเปิดตัวละครลับ “หน้าฉาก” และ “หลังฉาก” ออกมาทีละล็อต หากไม่มีอำนาจในมือ ย่อมเป็นเกมเข้าทางเอาคืน หลังจากนี้แน่นอน
หรือหากภูมิใจไทยกล้าถอนตัวจริง ก็ยังก็ยังมีแผนสอง นั่นคือ ฟาร์มดูด สส.ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้
2. ภูมิใจไทยพร้อมไปเป็นฝ่ายค้านจริงๆ นั่นอาจเป็นเพราะ ประเมินสัญญาณแล้ว กำลังเข้าสู่ช่วงนับถอยหลังรัฐบาล
สอดคล้องกับท่าทีของ “วิทยา แก้วภราดัย” รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ให้สัมภาษณ์กรณีการปรับ ครม. หากมีการสอบถามว่าประสงค์จะปรับ ครม.หรือไม่ พรรคเราก็คงบอกว่าไม่ประสงค์ที่จะปรับ แต่ถ้ามีการแจ้งไปแบบนี้ แล้วเขาอยากปรับ ทั้งตำแหน่ง รมว.พลังงาน และรมว.อุตสาหกรรม ก็จะเท่ากับว่าเป็นการยกเลิกข้อตกลงในการร่วมรัฐบาล
“ถ้าเป็นแบบนั้น ก็เหมือนเขาไล่ออกแล้ว มีทางเดียวก็คือ ต้องออก”
การส่งสัญญาณของ “2 แกนนำ 2 พรรคร่วมรัฐบาล” อ้างถึงข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มองเผินๆ อาจเป็นการเปิดเกมขู่ หรือเป็นเพราะมั่นใจว่า การปรับ ครม.รอบนี้ พรรคเพื่อไทยอาจอยู่ได้ไม่นานตามความตั้งใจ
กระแส “สัญญาณล้มกระดาน” โดยใช้ “นิติสงคราม”เปลี่ยนเกม หรือเรียกว่า “รัฐประหารเงียบ”อาจมองข้ามไม่ได้
ท่ามกลางสารพัดนิติสงคราม “ฝั่งสีน้ำเงิน” มีคดีโพยฮั้ว สว.ซึ่งถูกจับตาว่า อาจเป็นสัญญาณล้างกระดานสีน้ำเงิน
ยิ่งล่าสุดคณะกรรมการสืบสวน และไต่สวน คณะที่ 26 ได้ออกหมายเรียกล็อต 7 รวม 20 คน จำนวนนี้ มีนักการเมืองใหญ่ทั้ง "เนวิน-อนุทิน" รวมถึง สส.กลุ่มบ้านใหญ่พรรคภูมิใจไทยทั้งหมด ย่อมเป็นการตอกย้ำฉากนิติสงครามที่กำลังรุกคืบอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ขณะที่ฝั่ง “นายใหญ่” ก็มีคดีชั้น 14 รวมถึงคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลอาญานัดสืบพยานปากแรกวันที่ 1 ก.ค.68 นี้
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ต้องจับตาคือ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.รับไต่สวนกรณีที่คณะรัฐมนตรี สส. และ สว. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 68 ที่มีการโยกงบ ไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ซึ่งระบุว่า ห้ามกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
กรณีนี้มีการประเมินถึงฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด คือ ป.ป.ช.ส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลมีคำวินิจฉัยว่า “ผิด” ตามมาตรา 167(4) และจะไม่สามารถรักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้
สอดคล้องกับความเห็นจาก “แหล่งข่าวระดับสูง” พรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง ที่ให้ข้อมูลว่า ในแวดวงระดับ “คีย์แมน” พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มมีการพบปะสังสรรค์พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงหลายฉากทัศน์การเมือง ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง ทั้งการเปิดดีลเจรจาต่อรองสมประโยชน์ร่วมกันต่อไป
ทว่า ที่มองข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน คือ การเมืองที่อาจเหนือความคาดหมาย อย่าลืมว่า ต่างฝ่ายต่างก็มีบทเรียนการเมือง ซึ่งในทางการเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะสารพัดนิติสงครามที่ต่างฝ่ายต่างกำลังเผชิญในเวลานี้
ถึงที่สุดอาจเป็นเกมเร่งให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดได้เช่นกัน
เห็นได้จากเกมร้อนที่เกิดขึ้นเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นศึก “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ที่เห็นภาพการปรากฏตัวในเชิงการเมืองของ “ครูใหญ่” เปิดหน้าเล่นมากขึ้น
หรือในกรณีศึก 2 ขั้ว “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่พบจังหวะการขยับของ “บุคคลหลังฉาก” อาทิ กลุ่มทุน หรือ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตเลขาธิการ กปปส. ที่ถูกจับตาว่า กำลังเดินสายกล่อม สส.บางซุ้มไม่ให้ย้ายฝั่ง เป็นต้น
ขณะที่เกมเคลื่อนมวลชนนอกสภาฯ ที่ไม่ได้มีแค่การปลุกกระแสจากกรณีการรักษาตัวชั้น14 ของ “ทักษิณ” หรือคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลกำลังพิจารณาแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีปัญหาไทย-กัมพูชา ซึ่งถูกมองว่า “จุดติด” ในแง่การปลุกกระแสรักชาติผ่าน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด จนเกิดเกมผสมโรงจากหลากหลายสีเสื้อ จุดนี้เองที่อาจกลายเป็นแรงเคลื่อนในการปลุกกระแสเคลื่อนไหวต่อจากนี้
ต้องจับตาสัญญาณการเมืองท่ามกลางความอลหม่านปั่นป่วนในเวลานี้ ทั้งศึกใน-ศึกนอก ที่กำลังรุกเร้า อีกไม่นานอาจได้เห็น “จุดเปลี่ยน” ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็เป็นได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์