องคาพยพ‘อนุรักษ์’เร่งเกมรุก ปลุกไฟขัดแย้ง เซาะกร่อน พท.

ท่ามกลางสารพัดปัญหาความขัดแย้งทั้งบริบทภายในและภายนอกรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ขณะที่ปีกอนุรักษนิยมก็กำลังเดินเกมปลุกไฟขัดแย้ง เซาะกร่อนพรรคเพื่อไทย
KEY
POINTS
- การเมืองไทยดุเดือดเป็นพิเศษ จากเกมชาตินิยมพื้นที่พิพาท "ช่องบก" กำลังถูกปลุกปั่นไฟขัดแย้งจาก "กัมพูชา" แม้จะเปิดเวทีถกผ่านกลไกของ "เจบีซี" โดยฝ่ายไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
- เกมปรับ ครม. ยังคงถูกยื้ออย่างหนัก เพราะ "ภูมิใจไทย" ประกาศชัดพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ไม่ปล่อย มท.1 ให้ "เพื่อไทย" เกิดเป็นภาพรอยร้าวลึกภายในรัฐบาล
- องคาพยพอนุรักษนิยมรุกหนักใส่รัฐบาลในห้วงที่กำลังเผชิญศึกภายในรัฐบาลผ่านเกมปรับ ครม. และกระแสชาตินิยมระหว่างประเทศ เป็นบททดสอบกระแสศรัทธา “นายกฯ แพทองธาร"
ศึกในพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ทันจะได้จังหวะลงตัวในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง “ผู้นำจิตวิญญาณ” ต้องการเร่งเกมแรง-เร็ว ชิงปรับ ครม.ให้เสร็จก่อนเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ในวันที่ 3 ก.ค. 2568
เป้าหมายคือรุกคืบยึดเก้าอี้ “มท.1” กล่องดวงใจของค่ายน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” มาเป็นของ “เพื่อไทย” แต่ท่าทีของผู้นำตัวจริงหลังฉากค่ายน้ำเงิน กลับไม่ยอมรับข้อต่อรองของผู้มีอำนาจสูงสุดใน "เพื่อไทย"
อีกทั้ง สถานการณ์กลับไม่เข้าทาง “พรรคเพื่อไทย” เพราะเข้าโหมดเดือนมิถุนาร้อน ไฟขัดแย้งก็ร้าวลึกรุมเร้าอยู่แถบชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่ทับซ้อน “สามเหลี่ยมมรกต” จุดช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ร้อนระอุ-ดุเดือด สถานการณ์ชายแดนนาทีนี้ ถูกมองว่าเป็นเกมปั่นกระแสรักชาติในแผ่นดินกัมพูชาของ “ตระกูลฮุน” พ่อ-ลูก “ฮุน เซน- ฮุน มาเนต” แถมผสมโรงด้วยการมีชาติมหาอำนาจโลก เป็นแบ็คอัพหนุนหลังเพื่อนบ้านผู้รักชาตินิยม
แสดงท่าทีโชว์ภาวะความเป็นผู้นำ “2 ผู้นำกัมพูชา” ต้องการให้เกมข้อพิพาทชายแดนนำขึ้นสู่ศาลโลกให้ได้
ท่าที “กองทัพ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นกลไก แขนขาขององคาพยพของ “อนุรักษนิยม” ที่มักจะใช้กองทัพ ในจังหวะที่ฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้ามอ่อนแอ เมื่อสบโอกาสก็จะชิงความได้เปรียบรุกฆาตโค่นอำนาจ ซึ่งมีให้เห็นผ่านการเมืองไทยในช่วงที่มีการรัฐประหารถึง 2 ครั้งในรอบปี 2549 - 2557
กระแสรักชาติ ถือเป็นเกมถนัดที่ ฝั่งกองทัพ มักใช้ จะเห็นได้ชัดจากการระดมชวนคนไทยร่วมติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด พร้อมระบุว่า "เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่พี่น้องทหารเรา”
ก่อนหน้านี้ “กองทัพ” งัดมาตรการแรงใช้อำนาจด้วยตัวเองโดยควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแคนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดขอบของกองกําลังสุรนารี โดยห้ามมิให้บุคคลหรือยานพาหนะ เข้า - ออกผ่านจุดผ่านแดนทุกประเภท การนําเข้าและส่งออกซึ่งสินค้าอุปโภคบริโภค และยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้อง ประชาชนทั้งสองประเทศ (ยกเว้น การค้าขายตามแนวชายแดนหรือด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ หรือด้านการ ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม) โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 19.00 น. วันที่ 7 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป
ตัดฉากมาท่าทีของรัฐบาลไทยก่อนหน้านี้นำโดย “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่ต้องการเกมแรงด้วยการปะทะจากการใช้กำลังของฝั่งทหาร และไม่ต้องการเห็นภาพการปิดด่านชายแดน แต่ต้องการให้กองทัพใช้กลไก “สันติวิธี”
“กองทัพทราบอยู่แล้วว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร มันต้องปะทะหรือยัง อันนี้ก็เป็นการตัดสินใจของกองทัพที่เราก็ให้ที่หน้างานต้องดูเลยว่ามันต้องปะทะหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นต้องปะทะ การที่เราจะปะทะไปมันเกิดความเสียหายมากกว่าแรงเชียร์ที่จะให้เกิดการปะทะ คือ ตรงนั้นมันต้องใช้สันติวิธีให้ได้มากที่สุด ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครช้าในเรื่องนี้" แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ระบุเมื่อ 6 มิ.ย. 2568
ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JCB) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2568 ยังไม่ได้ข้อยุติ และจะต้องหารือต่อในวันที่ 15 มิ.ย.นี้
ท่าทีของฝ่ายไทยยังย้ำชัดว่า ไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันมาตลอด เพราะต้องการใช้การแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีและทางการทูต
ตรงกันข้ามกับเกมชาตินิยมของผู้นำกัมพูชา เพราะตัวผู้นำยังไม่ลดท่าทีปลุกกระแส ยังประกาศท่าทีคัดค้านแนวทางการใช้กลไกทวิภาคี เพราะต้องการนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกให้ได้
โดยล่าสุด "ฮุน มาเนต" ยึดวันเชิงสัญลักษณ์ 15 มิ.ย. 2568 ตรงกับวันครบรอบ 63 ปี ซึ่งเคยเป็นวันประวัติศาสตร์ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินให้ กัมพูชา ชนะปมพิพาทประเด็นประสาทพระวิหาร
รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือทางการไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อช่วยหาทางออกปัญหาพัฒนาชายแดนในกรณีข้อพิพาทพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย
ส่วนท่าทีของกองทัพไทยประกาศชัดจะรักษาอธิปไตยของไทยอย่างเต็มที่
"ไม่ต้องห่วงว่า จะต้องขึ้นศาลโลก พี่บอกรัฐบาลไปแล้วว่าไม่ต้องขึ้นศาลโลกไม่เกี่ยว แผ่นดินกู อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอาก็ดวลกัน ก็จบ ไม่เห็นจะยากอะไร ชี้แจง ถ้าคำพูดนี้ไปถึง ฮุนเซน ก็สวนมาอีก" พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค2 กล่าวช่วงหนึ่งในการบรรยายพิเศษให้นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ชั้นปีที่ 5 ถึงกรณีปราสาทและช่องบก จะไม่มีวันขึ้นศาลโลก กล่าว
จะเห็นได้ว่า รัฐบาลเพื่อไทย เดินทางผ่านมาครึ่งเทอม 2 ปีแล้วนับจากเลือกตั้งปี 2566 ครึ่งเทอมหลังคือช่วงที่เครือข่ายฝั่งตรงข้ามต้องเล่นเกมชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพื่อไม่ให้ “เพื่อไทย” ชิงนำ
แม้สมการทางการเมืองในอนาคต เกมทางการเมืองของหัวขบวนอนุรักษนิยม ยังต้องพึ่งพา “เพื่อไทย” เป็นองคาพยพ เพื่อหยุดยั้งการเติบโตของ “พรรคประชาชน”ก็ตาม
แต่ในอีกทางหนึ่ง กลไกของฝ่ายอนุรักษ์ ก็ขยับ "กองทัพ" เข้ามาอยู่ในเส้นเขตแดน “การเมือง” อีกครั้ง หลังเก็บตัวเงียบไร้บทบาทการเมือง ด้วยการปล่อยเวลาให้ “เพื่อไทย” ได้บริหารประเทศมา 2 ปี
ศึกภายนอกรัฐบาลเพื่อไทย คุกรุ่นผ่านเกมพิพาทแนวชายแดน ซึ่งอยู่นอกบริบทเป็นปัจจัยแทรกซ้อนที่ “พรรคเพื่อไทย” กำลังเผชิญมรสุมความขัดแย้ง
ส่วนปัจจัยภายในรัฐบาลก็ร้าวลึก จากท่าที “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งถูกมองว่ากำลังเล่นเกมชิงนำหัวขบวนการเมืองปีกอนุรักษิยม
โดยเฉพาะ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคก็แสดงท่าทียืนอยู่ข้างกองทัพโชว์ภาพ แย่งซีนนายกฯ อิ๊งค์ ด้วยการ บินขึ้น ฮ. ลงพื้นที่เกาะติดสถานการณ์ชายแดน พร้อมทั้งประกาศท่าทีพร้อมเป็นฝ่ายค้าน เล่นบทแตกหักในกรณีไม่ยอมลุกจากกระทรวงมหาดไทย
ร้อนรุ่มทั้งศึกในและศึกนอกรัฐบาล สภาพของ “ผู้นำรัฐบาล” กำลังเผชิญบททดสอบกระแส “ศรัทธา” อีกครั้ง เพราะถูกมองว่าการเดินเกมของ “รัฐบาลไทย” เป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทันการณ์ในท่าทีระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกันปีกเครือข่ายอนุรักษนิยม ผ่านแนวร่วมม็อบต้าน “ทักษิณ” ก็ยังรอจังหวะปลุกเชื้อไฟขัดแย้งให้รุกขึ้น ผ่านเกมการไต่สวนคดีชั้น 14 เพื่อรอโค่นผู้นำสูงสุดของ "เพื่อไทย" และรอรุกฆาตรัฐบาล
ส่วนจังหวะการปรับ ครม.ก็ยังถูกยื้อยุดผ่านการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังไม่ลงตัว เพราะ “ภูมิใจไทย” ยังไม่ต้องการปล่อยกระทรวงมหาดไทยให้ “เพื่อไทย”
ท่าทีกองทัพโชว์นำรัฐบาลในปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วน "ภูมิใจไทย" ก็เล่นบทแข็งกร้าวไม่ปรับเปลี่ยนกระทรวง
การเมืองไทยกลับมาร้อน เรียกว่าดุเดือดกว่าทุกครั้งตั้งแต่ตั้งรัฐบาล “ปีกอนุรักษนิยม” โชว์ภาพดิสเครดิต “เพื่อไทย” เซาะกร่อนคะแนนนิยมไปเรื่อยๆ
จึงเป็นบทพิสูจน์ของนายกฯ แพทองธาร จะสามารถเดินเกมฝ่าแรงโค่นแรงต้านได้เพียงใด
ท่ามกลางองคาพยพ “อนุรักษ์” มีทั้งองค์กรอิสระ กองทัพ และพรรคการเมืองเป็นแต้มต่อ
ส่วน “เพื่อไทย” มีแต่หลังพิงฝา ต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งในพรรคร่วม ผ่านการกระชับอำนาจจากการปรับ ครม. แล้วยังต้องใช้สมาธิผลักดันนโยบายเรือธงให้สำเร็จ
เพราะหากไม่มีนโยบายใดเป็นผลงานหลัก เพื่อชูธงในการหาเสียงรอบหน้าได้ โอกาสที่จะได้ไม่ต่ำกว่า 200 เสียงคงเป็นเรื่องยากตามที่ผู้นำ “เพื่อไทย”ต้องการ







