'สุรเกียรติ์' วิเคราะห์ดิสรัป ปมไทย-กัมพูชา ฉวยจังหวะรัฐบาลอ่อนแอ

ดร.สุรเกียรติ์ วิเคราะห์ปัญหาดิสรัปชั่นยุคใหม่ กรณีไทย-กัมพูชา สงครามดั้งเดิม กับสงครามสมัยใหม่ ฮุน เซน ฉวยจังหวะรัฐบาลอ่อนแอ กุมความลับนักการเมืองไทย รู้ไพ่ จี้ได้หมด
ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.การต่างประเทศ เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยภายใต้โลกแห่งความผันผวน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 4 ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ วันเสาร์ที่ 14 มิ.ย.
โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า Disruption หรือภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ที่ไทยต้องเผชิญมีหลายข้อ แต่เกิดในยุคที่เศรษฐกิจของไทยแย่ด้วย การบริโภคของเราก็แย่ การบริโภคของประชาชนไทยก็แย่ตามไปด้วย หนี้ภาคครัวเรือนก็สูง การลงทุนและการส่งออกในประเทศก็ชะลอมานานแล้ว แต่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยก็คงจะชะลอมากขึ้นจากประธานาธิบดีทรัมป์ มีเอกเฟกต์ต่อไปเป็นเรื่องการท่องเที่ยวของเรา ที่บอกจะปรับตัวจากตอนโควิด 19 ตั้งเป้าเน้น 40 ล้านคนหลังจากโควิดผ่านไป แต่ในที่สุดมันก็ยัง Over supply อยู่มาก
พอมาเจอเศรษฐกิจของจีนที่ไม่ค่อยดี นักท่องเที่ยวจีนลดลง แคมเปญไทยเที่ยวไทยก็ไม่มากเท่าที่ควร อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังบอกว่า เมืองไทยชักน่ากลัว ลงสนามบินมาก็เจอแท็กซี่โกง พอไปนั่งรถ ก็ไม่รู้จะถูกหลอกหรือไม่ ไปที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็บอกว่าไปที่เดิมๆ ไม่มี Product ใหม่
นักท่องเที่ยวเขาพูด เพื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านด้วย เช่น เวียดนาม หรือที่อื่น ซึ่งพบว่าหลายที่นั้นเก็บเงินแพงไป อาหารสําหรับคนต่างชาติก็ยังถูกอยู่ แต่ก็ไม่ถูกเหมือนเมื่อก่อน แต่ที่เขากังวลมาก คือความปลอดภัย
ผมเพิ่งไปที่ฮ่องกงมา ไปสังเกตการณ์การก่อตั้งระบบประเทศว่าด้วยการสังเกต ซึ่งมี 30 กว่าประเทศที่ไปลงนาม แต่ว่าประเทศไทยยังไม่กล้าลงนาม อ้างว่าเกรงใจอเมริกา เลยไม่กล้าลง ในขณะที่ 30 กว่าประเทศก็ลงนาม โดยมีจีนเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้
ผมได้พบท่าน หวัง อี้ รมว.การต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วก็ได้คุยกันหลายคน พบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวตกมาก เพราะว่ากลัวประเทศไทย กลัวข่าวเรื่องดาราฮ่องกงถูกลักพาตัวไปที่แม่สอด แล้วก็เจอแผ่นดินไหวเข้าไปด้วย
เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การส่งออก การท่องเที่ยว 4 เครื่องยนต์นี้ มันทํางานอ่อนแอท่ามกลางดิสรัปชั่นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความผันผวนมากขึ้น
ทั้งนี้ ดร.สุรเกียรติ ไล่เรียงถึงสถานการณ์ ดิสรัปชั่น 7 หัวข้อ ดังนี้
1.เทคโนโลยีดิสรัปชั่น (Technology Disruption)
2.เดโมกราฟฟิกดิสรัปชั่น (Demographic Disruption)
3.แพนเดมมิค ดิสรัปชั่น (Pandemic Disruption)
4.เอ็นไวรอนเม้นท์ทัล ดิสรัปชั่น (Environmental Disruption)
5.เอ็ดดูเคชั่น ดิสรัปชั่น (Education Disruption)
6.โพลิติคัล ดิสรัปชั่น (Political Disruption)
7. จีโอโพลิติคัล ดิสรัปชั่น (Geopolitical Disruption)
โดยในหัวข้อที่ 7 Geopolitical Disruption ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า เรื่องความขัดแย้งไทย กัมพูชา ซึ่ง 10 กว่าปีมานี้ที่เรามีเรื่องยิงกันที่ปราสาทพระวิหาร ผมก็ยังเห็นว่า เขาทําให้มันเกิดการปะทะกัน ทําให้เราไม่มีทางเลือก เพราะว่าถ้าปะทะกันแล้ว เขาก็ไปฟ้องอาเซียน แล้วก็ไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ แล้วก็ไปศาลโลก
ทั้งนี้ ประธานคณะคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนตำแหน่งตลอด ก็อาจจะมีคนที่เป็นพันธมิตรกับเขา ซึ่งเคยประณามประเทศไทย แบบที่เคยทำกันมาแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็คงจะหน้าตาคล้ายกัน ก็คงจะทําให้เกิดการปะทะกัน แล้วก็ทำให้เรื่องไปสู่จุดนั้น
เราก็บอกว่า เราไม่รับอํานาจศาลโลก แต่มันก็จะมีประเด็นว่า ก็ไม่รับอํานาจศาลโลกมาตั้งนาน แล้วทําไมไปสู้เขาเมื่อครั้งที่แล้ว ทำไมเรื่องของการตีความคำพิพากษาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ทำให้เราเสียพื้นที่ไป 2 ตารางกิโลเมตร
ส่วนในวันนี้ ก็เข้าใจว่า ในฝั่งกัมพูชา โดย พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็คงกำลังประชุมกันอยู่ ซึ่งเขาก็ย้ำว่า ประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี แต่ 4 เรื่องนั้น (พื้นที่อ้างสิทธิ์) ไปที่ศาลโลกแล้ว และจะมีการเชิญสื่อมวลชนเข้ามา พร้อมกับตั้งคำถามว่า ทำไมไทยไม่ยอมไปศาลโลก
ถามว่า ทําไมกัมพูชาทำแบบนี้ เพราะกัมพูชาทําแบบนี้เสมอ เวลามีปัญหาในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ ตอนที่จะต้องมีการเลือกตั้งภายใน เขาก็จะใช้ภัยคุกคามจากต่างประเทศเข้ามาอ้างตลอด ก็มีความเป็นไปได้ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต อาจจะยังไม่มีแรงควบคุมในประเทศมากพอนัก ก็เลยอยากเพิ่มแรงรักชาติ เข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา
อีกประเด็น เขาอาจจะเห็นว่า การเมืองไทยอ่อนแอ มีทั้งเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี มีเรื่องพรรคไหนจะเข้า-ไม่เข้า ข้าราชการทั้งหลายก็เกียร์ว่างกันมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ดูว่า ใครจะมา ใครจะไป เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว
อีกประการ ที่บอกว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดก็คือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพิ่งจะไปเยือนเขา ถ้าจะถามว่าจีนรักใครมากกว่า ระหว่างไทย กัมพูชา ก็คงให้ความสําคัญกับไทยมากกว่า แต่ว่าตอนนี้เขาอาจจะใกล้ชิดกัมพูชามากกว่า อย่างน้อยที่สุด ในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วเขาก็เพิ่งเอามาให้ทางกัมพูชา
จริงๆ เขาก็ต้องรู้ว่า ถึงแม้เราใกล้ชิดกับจีน แต่เราก็ทําอะไรหลายอย่างที่จีนไม่พอใจ และเราก็ทําอะไรหลายอย่างให้จีนพอใจ และอเมริกาไม่พอใจ เพราะฉะนั้นเขาก็รู้แล้วว่า ความใกล้ชิดของเรากับประเทศมหาอํานาจ ที่จะเข้ามาช่วยเรา มันไม่ถึงขนาดขนาดนั้น
อีกประการ คือ เศรษฐกิจไทยก็ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นพอเขาบีบเรื่องเศรษฐกิจขึ้นมา มันก็ต้องมาคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าที่เสียไป กับการแลกพื้นที่ตรงนั้น เราก็ต้องมาดูไพ่ ที่มี ทั้งการตัดอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า ทั้งหลาย มันไปที่กระเป๋าของใครในกัมพูชา
ในขณะเดียวกัน ฮุน เซน ออกมาพูดว่า ถ้าขืนไทยยังทำอย่างนี้ จะเปิดเผยว่า เวลานักการเมืองไทยหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ เขาไปกันอย่างไร คือเขาก็รู้ไพ่หมด และเขาก็จี้ได้หมด อย่างน้อยก็ในหัวใจของรัฐบาลไทย
ดังนั้นเรื่องไทยและกัมพูชาก็คือหนึ่งในเรื่องดิสรัปชั่น ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเลย แต่ตอนนี้มันเป็นส่วนผสมระหว่างสงครามดั้งเดิม กับสงครามสมัยใหม่ ที่มีประเด็นเรื่องเขตแดนที่เกี่ยวข้องตามมา







