คดีชั้น 14 แยกขั้ว ‘องค์กรหมอ’ เดิมพัน ‘ศรัทธา-การเมือง’

มติแพทยสภา ที่จะเกิดขึ้นวันนี้ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลสะเทือนถึง "องค์กรหมอ" ที่ถูกลากสู่ความขัดแย้งสังคม จากการแบ่งขั้วทางการเมือง
KEY
POINTS
Key Point :
- สังคมจับจ้อง มติของแพทยสภา วันนี้ ว่าจะยืนยัน หรือ กลับมติตัวเองที่ลงโทษ 3แพทย์ วินิจฉัยการรักษาตัว "ทักษิณ"
- มีข่าวลือว่า ฝ่ายการเมืองพยายามทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ผลเป็นคุณกับตัวเอง โดยยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยน
- แม้ข่าวลือไม่ถูกยืนยัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลสะเทือน องค์กรหมอ ที่ถูกสังคม2ขั้ว แยกเป็น 2 ฝั่ง
- ว่าจะพิทักษ์จรรยาบรรณวิชาชีพหรือเลือกข้าง "การเมือง"
- เพราะเรื่องนี้มีผลประโยชน์ของ "ทักษิณ" ซึ่งสัมพันธ์กับคดีบังคับโทษจำคุก ที่ศาลกำลังไต่สวน เตรียมชี้ขาดเร็วๆนี้
- ดังนั้นจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของ "องค์กรหมอ" ที่มีเดิมพันเป็นศรัทธา-เชื่อมั่น จากประชาชน
วาระการเมืองที่ต้องจับตาในวันนี้ คือ การตัดสินของ “กรรมการแพทยสภา” ที่จะพิจารณาการ “ยับยั้ง” มติที่สั่งลงโทษแพทย์ 3 คน ที่ลงความเห็นเกี่ยวกับการรักษา “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในตำแหน่งสภานายกพิเศษ “วีโต้” ไปก่อนหน้านี้
ตามระเบียบของวิชาชีพต้องใช้เสียง “กรรมการแพทยสภา” โต้แย้งการ “วีโต้” ของ “สมศักดิ์” จำนวน 2 ใน 3 คือ 47 เสียง จากกรรมการแพทยสภา ที่มี 70 คน แต่มี 1 กรรมการ คือ “พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์” นายแพทย์ใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องงดร่วมประชุม เพราะมีผลได้ผลเสีย ในฐานะที่ดูแล “โรงพยาบาลตำรวจ” ซึ่งเป็นสถานที่รักษาตัวของ “ทักษิณ” ช่วงที่พักรักษาตัวนอกเรือนจำ
สำหรับผลของการลงมติ “แพทยสภา” ครั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาในทิศทางใด ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีผลกระทบต่อ “องคาพยพของแพทย์” ที่ถูกลากเข้าไปผสมกับความขัดแย้งทางการเมือง
แม้ขณะนี้ การแบ่งฝั่ง แบ่งฝ่ายการเมือง จะไม่รุนแรงเหมือนยุคที่ผ่านมา แต่ประเด็นนี้ กำลังถูกสังคมจับจ้องและเตรียมใช้เป็นหัวเชื้อขัดแย้ง ซึ่งตั้งต้นจาก “องค์กรหมอ” ที่แยกเป็น 2 ฝั่ง คือ “ฝั่งที่รักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ” และ “ฝั่งที่สนองงานการเมือง”
ต่อประเด็นนี้ “นพ.นิรันทร์ พิทักษ์วัชระ” อดีตกรรมการแพทยสภา วิเคราะห์ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” กับ “องค์กรแพทยสภา” กับประเด็นชั้น 14 เป็นเรื่องที่ว่าด้วย การเข้าข้างบุคคล และค่อนข้างละเอียดอ่อน ซึ่งมีเนื้อหาที่ต้องพิจารณา คือ การบริหารจัดการความขัดแย้ง อย่าให้มุมมองการเมือง การเข้าข้างบุคคลใดเข้ามาแทรกแซงได้ เพราะจะกลายเป็นชนวน เพิ่มความขัดแย้งและสร้างความเสียหายทั้งสองฝ่าย
"แพทยสภาเป็นองค์กรวิชาชีพ ไม่ใช่ว่าใครจะแทรกแซงได้ สำหรับการลงมติหรือการให้ความเห็นใดๆ ไม่ควรมีการแทรกแซง หากมีเกิดขึ้นจะทำให้สังคมเคลือบแคลง ว่าการลงมตินั้นไม่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ รมว.สาธารณสุขต้องระมัดระวังให้ดี” นพ.นิรันดร์ ระบุ พร้อมย้ำว่า ยังเชื่อในการรักษาศักดิ์ศรีของแพทย์ที่ต้องยืนยันมติของตนเอง และด้วยบุคลิกของวิชาชีพหมอ คนที่เป็นคณบดีและกรรมการแพทยสภา รวมถึงคนที่ได้รับเลือก เป็นคนที่มีความชัดเจนในเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี ก่อนวันที่ “แพทยสภา” จะนัดประชุมเรื่องนี้ มีการปล่อยข่าวมาจาก อดีต สว."สมชาย แสวงการ” นักเคลื่อนไหวที่อยู่ในฝั่งสนับสนุน “แพทยสภา” ให้ยืนยันมติเดิมว่า มีการยื่นผลประโยชน์ต่างตอบแทน ทั้งในแง่ตำแหน่งทางการเมือง งบประมาณ และรถหรู เพื่อแลกกับการ “กลับมติของแพทยสภา” รวมถึงพยายามทุกหนทางหากกลับมติไม่ได้ ต้องทำให้การประชุมล่ม เพื่อยื้อเวลา
ทว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า “ข่าวจริง” หรือ “มั่ว” แต่นัยของเรื่องนี้ “อดีต สว.-สมชาย” บอกว่า “ฝ่ายการเมืองพยายามทำทุกวิถีทาง”
แน่นอนว่าสิ่งที่สัมพันธ์กับเรื่อง “มติแพทยสภา” ถูกผูกโยงเข้ากับ กรณีที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน กรณีการบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ ชินวัตร”
ซึ่ง “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ประเมินว่า มติแพทยสภา ไม่ว่าลงมติด้วยความเต็มใจหรือ กดดัน ย่อมมีผลในแง่ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาจะนำไปพิจารณาในคดี เพราะเมื่อองค์กรวิชาชีพมองว่ามีความผิดปกติในการปฏิบัติงานของแพทย์ คือ ข้อมูลส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบที่ศาลอาจมองว่ามีความไม่ปกติเกิดขึ้น
“หากแพทยสภาเสียงแตก ย่อมมีผลต่อน้ำหนักของการพิจารณาที่จะถูกหยิบไปอ้างได้ โดยปกติแล้วศาลจะรับฟังเพราะยังอยู่ในกระบวนการไต่สวน ว่าหน่วยงานได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลที่สั่งให้จำคุกของนายทักษิณหรือไม่ แต่หากศาลวินิจฉัยบางอย่างได้ว่า ไม่ได้จำคุก ข้อเท็จจริงที่เกิดจากการตรวจสอบของแพทยสภาจะมีน้ำหนักที่ศาลนำไปกล่าวอ้าง และจะเกิดข้อมูลที่เชื่อมโยงในการไต่สวนในลำดับชั้นต่อไป” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ประเมิน
ขณะที่ ความพยายามแบ่งข้างของ “แพทยสภา” ที่เกิดขึ้นนั้น “สติธร” มองว่า อาจไม่มีน้ำหนักในกระบวนการของศาล ทว่าในทางวงการของแพทย์ต่อประเด็นปัญหาการทำหน้าที่ เป็นเรื่องก้ำกึ่งของทั้งสองฝ่าย ต้องใช้ความระมัดระวัง ส่วนตัวเชื่อว่ามีแรงกดดันไม่น้อย เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และ “รัฐบาล”
หากย้อนความของเรื่อง แม้ว่า “รัฐบาล-แพทองธาร ชินวัตร” จะไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่องที่ “ทักษิณ” ติดคุกนอกเรือนจำ แต่ปฏิเสธแรงกระแทกไม่ได้ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบเต็มๆ และชัดเจนขณะนี้คือ “องค์กรหมอ” ซึ่งมีความเชื่อถือ ความศรัทธา เป็นเดิมพัน







