ผ่า '4 กลุ่ม' พันคดีตึกถล่ม ลุ้นเอาผิด ‘ผู้ว่าฯ สตง.’ ล่า ‘บิงลิน วู’

ชำแหละ 4 กลุ่มพัวพันเงื่อนปมตึก สตง.ใหม่ 2.1 พันล้านบาทถล่มตอนแผ่นดินไหว ดีเอสไอ ขยับชง ป.ป.ช.สอบต่อไป "ลุ้นชื่อ "อดีตผู้ว่าฯ สตง."
KEY
POINTS
- ชำแหละ 4 กลุ่ม "นอมินี-ฮั้วประมูล-สาเหตุตึกถล่ม-วัสดุก่อสร้าง" พัวพันเงื่อนปมตึก สตง.ใหม่ 2.1 พันล้านบาทถล่มตอนแผ่นดินไหว
- ดีเอสไอ ขยับชง ป.ป.ช.สอบต่อไป "ฮั้วประมูล" รอลุ้นมีชื่อ "อดีตผู้ว่าฯ สตง." ที่เกี่ยวข้องด้วย
- แถมส่งอัยการฟ้อง 4 ผู้ต้องหา 1 คนจีน 3 คนไทย คดี "นอมินี" เหลือพลิกแผ่นดินล่าตัว "บิงลิน วู" ที่กำลังหลบหนี
- ส่วนตำรวจออกหมายจับ 17 ผู้ต้องหาพัวพัน "ตึกถล่ม" ยื่นศาลฝากขังไปแล้ว มีชื่อ "เปรมชัย กรรณสูต" ด้วย
- แม้คดีทั้งหมดจะยังไม่ถึง "จุดสิ้นสุด" แต่ว่าทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการสอบของหน่วยงานรัฐ ต้นธารกระบวนการยุติธรรมแล้ว จับตาจะมีบทสรุปอย่างไร?
ผ่านมาราว 2 เดือนเศษ หลังเกิดเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม ขณะเกิดแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ในไทย เมื่อ 28 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ส่งผลให้สาธารณชนตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่า อาคาร สตง.ที่สร้างใกล้จะแล้วเสร็จ ไฉนจึงพังถล่มลงมายับเยินกลายเป็นซากได้
ต่อมามีการขุดคุ้ยพบว่า อาคารแห่งดังกล่าวใช้งบประมาณก่อสร้างราว 2.1 พันล้านบาท แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.ดำเนินการก่อสร้างโดย กิจการร่วมค้า ไอทีดี ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) 2.ควบคุมงานก่อสร้างโดย กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด) และ 3.การออกแบบโดยบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และ บริษัท ไมนฮาร์ท (ประทศไทย) จำกัด
ที่ผ่านมา กรุงเทพธุรกิจ ขุดคุ้ยและนำเสนอข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ตัวการสำคัญในการก่อสร้างตึกแห่งนี้คือ “ไชน่า เรลเวย์” หรือ CREC ซึ่งเป็นเครือข่ายทุนจีน พบว่า CREC ในไทย มีบริษัทเครือข่ายอีกกว่า 14 บริษัท โดยมี 3 คนไทย เข้าไปเป็นกรรมการ และถือหุ้น รวมถึงเข้าเป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกอย่างน้อย 19 โครงการ รวมวงเงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกหน่วยงานรัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำไปใช้
กระทั่งสืบค้นพบว่า CREC ได้งานรัฐรวมอย่างน้อย 29 สัญญา รวมวงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังได้แกะรอย เปิดโปงข้อเท็จจริงทั้งกิจการร่วมค้า PKW ที่เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึง TOR ต่างๆ ให้สาธารณชนรับทราบกันไปแล้ว
พฤติการณ์ของ CREC ในไทยนั้น ใช้โมเดลธุรกิจในลักษณะเป็น “กิจการร่วมค้า” กับเอกชนรายอื่นๆ โดยเริ่มจากเข้าไป “ซื้อซอง” เอกสารการประมูลงานรัฐ แต่ไม่ได้เข้าร่วม “ยื่นซอง” หรือ “ยื่นเสนอราคา” แต่กลับไปดีลกับเอกชนไทยที่ “ทุนหนา” เพื่อเข้าร่วมเป็น “กิจการร่วมค้า” ดำเนินการ “ยื่นซอง” ประมูลแทน
โดยนับตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มี “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” เริ่มจากประมูลงานรัฐขนาดกลาง วงเงินราว 100 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงงานขนาดใหญ่หลัก 300-500 ล้านบาท จนมาถึงงานระดับสัมปทานรัฐหลัก 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันเรื่องนี้ถูกแบ่งข้อเท็จจริงออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1.กรณี “นอมินี” คนไทยถือหุ้นแทน “คนต่างด้าว” มีดีเอสไอ-กระทรวงพาณิชย์ เป็นแม่งานเข้าไปตรวจสอบ เบื้องต้นได้จับกุม “ชาวจีน” คือ ชวนหลิง จาง และคนไทย 3 คนคือ มานัส ศรีอนันท์ ประจวบ ศิริเขตร และโสภณ มีชัย เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันทั้ง 4 คน ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำระหว่างสอบสวน ปัจจุบันดีเอสไอได้สรุปสำนวน ส่งอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว โดยเหลือแค่ “บิงลิน วู” คีย์แมนคนสำคัญที่ยังหลบหนี และอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวมาส่งฟ้องเท่านั้น
2.กรณี “วัสดุก่อสร้าง” ไม่ตรงสเปก และส่อไม่ได้มาตรฐาน มีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นแม่งาน โดย “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการฯ สั่งให้ตรวจสอบสเปกเหล็กที่ใช้ก่อสร้าง จนพบว่ามี “เหล็กข้ออ้อย” บางส่วนอาจไม่ได้มาตรฐาน มาจาก “ซินเคอหยวน สตีล” ธุรกิจที่มีเครือข่าย “ทุนจีน” ถือหุ้น จึงดำเนินการอายัดไว้ตรวจสอบ พร้อมกับสั่งเพิกถอน BOI บริษัทแห่งนี้แล้ว
3.กรณี “สาเหตุตึกถล่ม” ปัจจุบันมีตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย เป็นแม่งาน โดยพุ่งเป้าไปที่ “การแก้แบบ” จำนวน 9 ครั้ง ที่ผ่านการอนุมัติในที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยเรื่องนี้ทำควบคู่ไปกับกลไกในสภาฯ คือ กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ หรือ “กมธ.ป.ป.ช.” ที่มี “ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ. โดยการสาวลึกเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ
เบื้องต้นตำรวจได้มีการออกหมายจับ 17 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ทั้งนิติบุคคล และบุคคล รวมถึง “เปรมชัย กรรณสูต” ประธานกรรมการบริหาร “อิตาเลียนไทยฯ” หนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ด้วย โดยทั้งหมดถูกฝากขังระหว่างสอบสวน และถูกปฏิเสธการประกันตัว
4.กรณี “ฮั้วประมูล” ซึ่งดีเอสไอทำควบคู่กันไปกับกรณี “นอมินี” ความคืบหน้าล่าสุด ดีเอสไอได้สรุปสำนวน โดยพบข้อมูลเบื้องต้นว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวโทษไม่ต่ำกว่า 70 คน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ผู้บริหารขององค์กรอิสระ ไม่ระบุชื่อว่ามีใครบ้าง แต่เยอะพอสมควร 2.คณะกรรมการที่เกี่ยวกับการออกแบบ 3 คณะ การก่อสร้าง 3 คณะ และการควบคุมงาน 4 คณะ รวม 10 คณะ และ 3.คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารภาครัฐ 1 คณะ รวม 15 คน โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะส่งสำนวนต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนต่อไป
โดยพฤติการณ์ การฮั้ว และหลักฐานที่ดีเอสไอพบในคดีนี้ คือ การดำเนินการควบคุมงานของบริษัท PKW ซึ่งในรายละเอียดตามหลักการคัดเลือกบริษัทแล้ว จะมีการพิจารณาอยู่ 3 หมวด รวม 100 คะแนน ได้แก่ วิธีการดำเนินการ 50 คะแนน บุคลากร 40 คะแนน ประสบการณ์ 10 คะแนน
แต่ปรากฏว่าในส่วนของบุคลากร พบมีการปลอมลายมือชื่อ และ เอาชื่อบุคคลอื่น ซึ่งไม่มีความสามารถเป็นไปตาม TOR มาดำเนินการในเรื่องของใบเสนอราคาในการคัดเลือก รวมไปถึงพบการปลอมเอกสารที่ทำให้คะแนนตัวเองโดดเด่น ถือว่าเป็นความผิด จึงมีการกล่าวหาดำเนินคดีกับบริษัท PKW รวมแล้ว 6 คน
ประเด็นที่น่าสนใจในคดี “ฮั้วประมูล” นั้น ว่ากันว่าอาจมีชื่อของ “อดีตบิ๊กเนม” ใน สตง. หรือแม้แต่ “อดีตผู้ว่าฯ สตง.” ติดโผในรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาด้วย แต่ยังมิได้มีการลงลึกรายละเอียดว่าเป็นใครบ้าง
ทั้งนี้ หากพลิกแฟ้มทำเนียบ “ผู้ว่าฯ สตง.” นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์กรนี้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 พบว่า มีผู้ว่าฯ สตง.มาแล้ว 4 คน ได้แก่
1.คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2544-5 ก.ค.2553 2.พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ดำรงตำแหน่งระหว่าง 25 ก.ย. 2557- 25 ก.ย. 2560 3.ประจักษ์ บุญยัง ดำรงตำแหน่งระหว่าง 27 ก.พ. 2561-3 มิ.ย. 2567 และล่าสุดยังดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันคือ 4.มณเฑียร เจริญผล ดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 มิ.ย. พ.ศ. 2567-ปัจจุบัน
ในส่วนของ “คุณหญิงจารุวรรณ” เคยปรากฏชื่อถูกกล่าวหา และถูกชี้มูลผิดในชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีถูกกล่าวหาว่า ทุจริตจ้างออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ วงเงิน 25.8 ล้านบาท เมื่อปี 2552 อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้เสนอราคารายใดรายหนึ่ง มาแล้วก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี การก่อสร้างอาคาร สตง.แห่งใหม่นั้น ดำเนินการมาอย่างยาวนาน โดยมีการของบประมาณมาตั้งแต่ปี 2550 มีการเปลี่ยนทำเลที่ก่อสร้างหลายครั้ง กระทั่งมาลงตัว เคาะงบฯ เพิ่มวงเงินกันได้ล่าสุดเมื่อปี 2563 ดังนั้นการชี้มูล “คุณหญิงจารุวรรณ” กรณีดังกล่าว อาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาเหตุอาคาร สตง.แห่งใหม่ถล่มในปี 2568
ทั้งหมดคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีอาคาร สตง.ถล่ม โดยทั้ง 4 คดีข้างต้น ยังไม่มีคดีไหนถึง “ปลายทาง” แม้แต่คดีเดียว ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของหน่วยงานรัฐในกระบวนการยุติธรรมแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังเหลือคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดกระทรวงมหาดไทยอีก 1 คณะ ที่ยังมิได้สรุปผลสอบออกมา คงต้องรอติดตามกันต่อไป







