'พรรณิการ์' จวก 'นายกฯ' ไร้เดียงสาการเมือง ปมขัดแย้ง 'กัมพูชา'

"พรรณิการ์" จวก "แพทองธาร" พร่องภาวะผู้นำ-ไร้เดียงสาการเมือง หลังยก "กัมพูชา" เป็นเพื่อน ในสถานการณ์ขัดแย้ง เชื่อถูกนำไปปั่นกระแสต่อ
ที่รัฐสภา น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า กล่าวถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างดินแดนของ ไทย-กัมพูชา ว่า วุฒิภาวะและภาวะผู้นำพร่อง เพราะไม่แสดงท่าทีตอบโต้กัมพูชา มีเพียงการแสดงท่าทีของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว. กลาโหมเท่านั้น ส่วนวันนี้ (4 มิ.ย.) ที่นายกฯ แถลงเรื่องดังกล่าวควรเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ แต่กลายเป็นประเด็นที่นายกฯไม่พอใจนักข่าว ที่ไปสอบถามว่า จุดยืนของไทยอ่อนไปหรือไม่ ทั้งนี้เราต้องการภาวะผู้นำจากนายกฯ
"สิ่งที่เราได้รับในวันนี้ต้องขอให้นายกฯ ปรับปรุง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ท่าทางเขาตอบโต้กลับมาโดยการใช้ นายกฯหรือพ่อของนายกฯ อย่างน้อยที่สุดทางการไทย ต้องให้นายกรัฐมนตรีตอบ ไม่ได้ตอบโต้เพื่อท้าตีท้าต่อย แต่มีหลากหลายวิธีที่จะยืนยันในจุดยืน และเกียรติภูมิของประเทศของเรา โดยผู้นำของเราเอง" น.ส.พรรณิการ์กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการแสดงจุดยืนและนโยบายที่เป็นรูปธรรม ซึ่งนายภูมิธรรมระบุว่าคนไทยอย่ารู้มากไป เพราะจะเสียเปรียบในการเจรจา ตนรู้สึกตกใจ และตนคิดว่าถ้าเราพูดโดยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลเอาอยู่จัดการได้ ยังพอฟังแต่ถามประชาชนทุกคนว่าวันนี้ รัฐบาลเรามีเครดิตขนาดนั้นหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือเวทีระดับ ระหว่างประเทศ รัฐบาลเราได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ จากประชาชนในระดับนั้นหรือไม่
"เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ประเทศเผชิญวิกฤตแบบนี้ แล้วยังมีรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ ขาดความมั่นใจจากประชาชน ขาดแรงหนุนจากประชาชน แต่ในเมื่อเป็นแบบนั้นไปแล้ว แทนที่จะบอกว่าให้เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะสร้างเครดิตให้กับรัฐบาลในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ คือต้องเอาให้ชัดว่าจะทำอย่างไร" น.ส.พรรณิการ์กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายภูมิธรรมฝากความหวังไว้ที่การเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย. ตนขอฝากไปให้พิจารณาว่า โต๊ะกลไกเจบีซีนั้นเพียงพอต่อการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตหรือไม่ และตนมองว่าแทนที่รัฐบาลจะรอกลไกเจบีซีอย่างเดียว ต้องพิจารณามาตรการที่หลากหลายควบคู่ไปกับการแสดงออกทางการทูตด้วย เช่น การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต
"จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณา เพราะลำพังหวังเพียงการเจรจาใน JBC ต้องบอกตามตรงว่า ดูจากประวัติที่ผ่านมาของการการดำเนินนโยบายต่างประเทศของฮุนเซน ถ้าเขายอมลงให้เรารอบนี้ใน JBCถือว่าแปลกมาก คงจะไม่ใช่อดีต นายกฮุน เซน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว ถึงขั้นพูดว่าจะเป็นฉนวนกาซ่า หรือจะเอาขึ้นศาลโลก ดิฉันคิดว่าไทยเองควรจะต้องตอบโต้ ให้อยู่ในน้ำหนักเดียวกับ ที่กัมพูชาตอบโต้กับเรา" น.ส.พรรณิการ์กล่าว
เมื่อถามถึงความพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเป็นผลดีหรือผลเสียกว่าดัน น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า จากคำพูดของน.ส.แพทองธาร ที่ยอมรับว่าผู้นำไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนกัน ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะสะท้อนว่านายกฯ ขาดความเข้าใจ สถานการณ์ทางการเมืองภายในกัมพูชา ซึ่งนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านพลัดถิ่นของกัมพูชา โจมตีรัฐบาลนายฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา มาโดยตลอด ว่า เป็นพวกที่ขายชาติ เป็นคนที่มาเกี้ยเซี้ยกับตระกูลชินวัตร ทำให้ผลประโยชน์แห่งชาติของกัมพูชาสูญเสียไป และมีการคาดการณ์กันว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้สมเด็จฮุน เซน นายฮุน มาเนต มีท่าทีแข็งกร้าว เพื่อลบข้อครหาที่ว่าทางตระกูลฮุนเซนกับตระกูลชินวัตร เกี้ยเซี้ยกันเพื่อประโยชน์ของตนเอง และละเลยผลประโยชน์ชาติ
"คำพูดของ น.ส.แพทองธารนั้น ขาดความเข้าใจอย่างหนัก และคิดว่าอาจจะไร้เดียงสาทางการเมืองเกินไป ในการที่พูดประโยคนี้ออกมา ซึ่งเราไม่รู้ว่าทางกัมพูชา จะนำไปต่อยอดหรือนำไปปั่นกระแส กันมากแค่ไหน แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วเราก็ต้องเฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดคือ ยุติการชูความสนิทสนมส่วนบุคคลเพราะนี่คือเรื่องของบูรณภาพทางดินแดน นี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์รัฐต่อรัฐ " น.ส.พรรณิการ์กล่าว.
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในกลไกของกระทรวงการต่างประเทศและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ว่ากลไกเหล่านี้รวมถึงทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน เป็นกลไกปกติ แบบรัฐต่อรัฐ ที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ขอให้หยุดใช้เรื่องส่วนตัวหรือสายสัมพันธ์ส่วนตัว มาบอกว่าคลี่คลายสถานการณ์ได้ ด้วยความสนิทสนมกัน เพราะยิ่งเหมือนกันราดน้ำมันลงบนกองไฟ จะทำให้คุณเซ็นอาจจะต้องตอบโต้ ด้วยท่าทีแข็งกร้าว ยิ่งขึ้นเพื่อลบข้อครหาที่เขาถูกโจมตี
ส่วนที่มีหลายคนเป็นห่วงว่าครั้งนี้ไทยอาจจะเสียดินแดนไปอีก เหมือนเช่นครั้งเขาพระวิหาร น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าเราจะเสียดินแดน เรื่องนี้ อย่างไรก็จะสามารถคลี่คลายไปได้ แต่สิ่งที่อยากให้ระวังคือกระแสชาตินิยมเข้มข้น ชาตินิยมสุดโต่งกันในช่วงนี้ ด้วยการกระตุ้นความยั่วยุ จากประเทศข้างๆ ซึ่งก็เห็นกันอยู่ว่ามีความพยายามยั่วยุปลุกปั่นเพื่อคะแนนนิยม ภายในประเทศของเขาจริงๆ ตนอยากจะเตือนประชาชนคนไทยว่าอย่าไปเข้าทางเขา เรื่องการเสียดินแดนไม่เสียหรอก เราจะสามารถพูดคุยเจรจา และใช้มาตรการตอบโต้ อื่นๆที่ไม่ใช่การสู้รบ ในการจัดการปัญหานี้ได้ เพียงแต่ขอให้รัฐบาล มีท่าทีที่ชัดเจน และเข้มแข็งกว่านี้ ในการตอบโต้กับกัมพูชาที่มีน้ำหนักเสมอกัน.







