'เท้ง' จี้รัฐบาลหยุดเอาผลประโยชน์ชาติไปเสี่ยง ปมขัดแย้งชายแดน

'ณัฐพงษ์' ถามรัฐบาล เป็นมืออาชีพพอหรือยัง ปมขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ชมทหารอดทนอดกลั้น-รักษาดินแดน จี้หยุดเอาผลประโยชน์ชาติไปเสี่ยง สัมพันธ์ส่วนตัว 'ทักษิณ'
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นถึงกรณีสถานการณ์ความขัดแย้งทางชายแดนระหว่างไทย และกัมพูชา ในหัวข้อว่า "รัฐบาลเป็นมืออาชีพแล้วหรือยัง ในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา" โดยระบุว่า ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยความกังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยในหลายเดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องขอชื่นชมพี่น้องทหารที่ประจำการณ์อยู่ในพื้นที่ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมืออาชีพ อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ แต่ในขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นที่จะรักษาบูรณภาพของดินแดนไทยไว้อย่างเต็มที่ในตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
นายณัฐพงษ มั่นใจว่า หากสถานการณ์ยกระดับขึ้นจนกลายเป็นการปะทะด้วยการใช้อาวุธ ศักยภาพของกองทัพไทยสามารถปกป้องอธิปไตยของชาติได้อย่างแน่นอน แต่ไม่มีสงครามใดที่มีการสูญเสียฝั่งเดียว ดังนั้น เราจึงไม่ควรสูญเสียเลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนคนไทยแม้แต่คนเดียว ในความขัดแย้งที่เราสามารถควบคุมป้องกันได้ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการทำงานของรัฐบาลไทย
"ผมเห็นว่า แม้จะมีการแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศแล้วในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กลับมีท่าทีเงียบเฉยมากเกินไป และดูเหมือนจะประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง มิหนำซ้ำ คุณทักษิณ ชินวัตร บิดาของนายกรัฐมนตรี กลับสื่อสารในลักษณะว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไร เพราะสามารถใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวในการเคลียร์กับผู้นำกัมพูชาได้" นายณัฐพงษ์ ระบุ
ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุอีกว่า คำพูดของคุณทักษิณเท่ากับราดน้ำมันบนกองไฟ เพราะผู้นำกัมพูชาไม่ต้องการมีภาพลักษณ์ว่าเกี้ยเซี้ยกับผู้นำไทย จึงยิ่งแสดงท่าทีเด็ดขาดแข็งกร้าวสอดรับกระแสชาตินิยมกัมพูชา โดยเฉพาะการนำเรื่องขึ้นศาลโลก ที่สำคัญกว่านั้น บูรณภาพของดินแดนเป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งของชาติ คุณทักษิณและรัฐบาลแพทองธารต้องหยุดวิธีคิดการเอาผลประโยชน์ชาติไปเสี่ยงบนการทูตส่วนบุคคลของคุณทักษิณ ซึ่งก็ล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่งในกรณีเจรจากำแพงภาษีทรัมป์ เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานมีควาเป็นมืออาชีพมากเพียงพอในการแก้ไขปัญหาระดับรัฐต่อรัฐ หน่วยงานต่อหน่วยงาน บนช่องทางการทูตปกติ ซึ่งจะเชื่อได้ว่าเป็นไปบนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติที่แท้จริง ไม่ใช่การเอาผลประโยชน์ต่อรองแลกเปลี่ยนกันในทางลับ
เมื่อกัมพูชารุกหนักทางด้านการทหารและการทูต มาตรการที่รัฐบาลไทยสามารถตอบโต้ได้มีหลากหลายวิธี เช่น การเรียกทูตกัมพูชามาพูดคุยหรือประท้วง การให้สถานทูตไทยส่งหนังสือประท้วงโดยตรงไปยังรัฐบาลกัมพูชา ส่วนมาตรการทางการทหาร เช่น การซ้อมรบและการลาดตระเวนทั้งทางบก เรือ อากาศ เมื่อถูกพาดพิงจากผู้นำกัมพูชา ทางการไทยต้องตอบโต้และยืนยันข้อเท็จจริงอย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เกิดการนำไปปั่นกระแสในกัมพูชา ยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ปล่อยให้พี่น้องประชาชนคนไทยรู้สึกถูกย่ำยีเกียรติศักดิ์ศรี ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งลุกลามใหญ่โตขึ้นไปอีก
"ผมพยายามคิดในแง่ดีว่ารัฐบาลไม่อยากให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายจึงเลือกที่จะเงียบเกินสมควร แต่สิ่งที่ท่านทำกลับได้ผลตรงกันข้าม ยิ่งรัฐบาลเฉื่อยชาต่อปัญหา ยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจสะสมในหมู่ประชาชนคนไทย" นายณัฐพงษ์ ระบุ
ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุด้วยว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เห็นกองทัพได้ทำหน้าที่ได้อย่างมืออาชีพและสมดุล คือมีทั้งความอดทนอดกลั้นต่อความยั่วยุ และไม่พร่องในการทำหน้าที่รักษาบูรณภาพของดินแดน ดังนั้น ผมเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมืออาชีพเช่นกัน ไม่ใช่อดทนอดกลั้นแล้วไม่ทำอะไรเลย ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลต้องทำงานทั้งทางการทูตและการประสานงานด้านความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนี้บานปลายจนนำไปสู่ความสูญเสียของพี่น้องทหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องประชาชน







