ยึดมท.กระชับอำนาจ‘สีน้ำเงิน’ ‘ทักษิณ’ขยับรับเลือกตั้ง-ข่ม'2น.'

ยึดมท.กระชับอำนาจ‘สีน้ำเงิน’ สัญญาณ‘ทักษิณ’ครึ่งเทอมรัฐบาล‘แพทองธาร’ปูทางเลือกตั้ง เกม‘2นาย’ เพื่อไทย-ภูมิใจไทย แตกหัก-ต่อรอง?
KEY
POINTS
- สัญญาณชัด “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเกมกระชับอำนาจกระทรวงมหาดไทย กลับมาอยู่ในอำนาจของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล โฉมหน้า “ครม.แพทองธาร2” ใกล้จะได้เห็นในอีกไม่กี่อึดใจ
- สถิติในช่วง2ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน “รัฐบาลชินวัตร” ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทยในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกยุคทุกสมัยกระทรวงมหาดไทยล้วนอยู่ในอำนาจของพรรคแกนนำทั้งสิ้น
- ขณะนี้อายุรัฐบาลกำลังนับถอยหลัง2ปีสุดท้าย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปั๊มผลงานดันโครงการต่างๆลงไปในพื้นที่เพื่อ “ตุนแต้ม-ตุนกระสุน”ไว้ใช้ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
- สอดคล้องกับที่ “ทักษิณ” ระบุ การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย เวลานี้เหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่
- การที่ “ทักษิณ” ส่งสัญญาณ “หักดิบ” ยึดคืนกระทรวงสำคัญนั่นอาจเป็นเพราะมั่นใจว่า ต่อให้สัญญาณดังกล่าวจะล่วงรู้ไปถึง“ครูใหญ่สีน้ำเงิน” กลายเป็นศึกไฟท์ติ้งอีกระลอก แต่ถึงอย่างไร “ภูมิใจไทย” ที่ไม่ได้หวังจะเป็นฝ่ายค้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงไม่กล้าประกาศถอนตัวร่วมรัฐบาล
- ต้องจับตาว่าฝั่ง“ครูใหญ่สีน้ำเงิน” จะแก้เกมหรือโยนไพ่ต่อรองอย่างไรหลังจากนี้
“ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทย อยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย”
สัญญาณชัด “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเกมกระชับอำนาจกระทรวงมหาดไทย กลับมาอยู่ในอำนาจของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล
ตอกย้ำข่าวคราวการ “ปรับครม.” ที่ใกล้จะได้เห็นโฉมหน้า “ครม.แพทองธาร2” ในอีกไม่กี่อึดใจ
คล้อยหลังไม่นานมีสัญญาณโต้กลับจาก“ฝั่งสีน้ำเงิน” ผ่านสงครามตัวแทน เมื่อ“เฮียตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาฯ และอดีตสส. หลายสมัย ซึ่งเป็นบิดาของ “รองแบด” ภราดร ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 และ “ลูกแชมป์” กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคเดียวกัน
โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เขาคือใคร? อย่างนี้ก็ได้หรือ หยิบยก2มาตราของพ.ร.ป.พรรคการเมือง ตั้งคำถามถึงประเด็นครอบงำพรรค
สัญญาณจาก “เฮียตือ” บ้านใหญ่สีน้ำเงินไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก ก่อนหน้าเจ้าตัวได้ออกมาแสดงความเห็นหลังมีกระแสข่าว “นายใหญ่เพื่อไทย” ขู่จะเขี่ยพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับ “กฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์” ออกจากรัฐบาล
ซึ่งเวลานั้น “เฮียตือ” ออกแรงยุให้ “พรรคร่วมรัฐบาล”ถอนตัวเสียด้วยซ้ำไป
ก่อนที่ต่อมาจะมีการส่งบทกันเป็นทอดๆของฝั่งสีน้ำเงิน จนกระทั่งเกิดซีนที่ “ลูกเนวิน” ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯไม่เอากาสิโน ทว่าภายหลังถูกตัดจบ“สยบปมร้าว” เป็นแค่เรื่องผิดคิวส่วนตัว ไม่ใช่มติพรรค
หรือแม้แต่กระแสปรับครม.ยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังดังก้องขึ้นในเวลานี้ ก่อนหน้าก็มีข่าวปล่อยออกมาเป็นระยะถึงการเปิดเกมวัดพลังระหว่างแดง-น้ำเงิน ถึงขั้นมีเสียงลือหนาหูว่า “มท.หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยพูดในวงข้าราชการ ในทำนอง“หนู(กู)ไม่ยอม” หากมีการยึดคืนกระทรวงมหาดไทย
ก่อนที่ “มท.หนู”จะชิงสยบข่าวลือตามสไตล์ “หนูหวานเจี๊ยบ” ไม่พร้อมปะทะ
ทว่านัยที่น่าสนใจคือ อาการของ“เสี่ยหนู” ที่พูดถึงสูตรการเมือง“พรรคภูมิใจไทย”จับมือ“พรรคประชาชน” ซึ่งถูกโยนหินออกมา ระบุว่า “อนาคตหากนโยบายรับกันได้ ก็ไม่ควรมีข้อจำกัด” ย่อมเป็นการตอกย้ำฉากการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างยังซ่อนไพ่ต่อรองไว้อีกหลายใบ
อย่างที่รู้กันนับแต่จัดตั้ง“รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” กระทั่ง มีการฟอร์มทีมในครม.เศรษฐา ทวีสิน เวลานั้นถือว่า พรรคเพื่อไทยแหวกประเพณีจากที่เคยปฏิบัติในยุคที่ผ่านมา ด้วยการปล่อยให้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงที่กุมฐานอำนาจสำคัญตกไปอยู่ในการครอบครองของ“พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างพรรคภูมิใจไทย
หากลองย้อนสถิติในช่วง2ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน “รัฐบาลชินวัตร” ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทยในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกยุคทุกสมัยกระทรวงมหาดไทยล้วนอยู่ในอำนาจของพรรคแกนนำทั้งสิ้น
แม้แต่ในยุคของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้การนำของพรรคพลังประชารัฐ โควตารมว.มหาดไทยก็ถูกยึดเบ็ดเสร็จไว้ที่"ผู้นำ" แต่เพียงผู้เดียว โดยมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรมว.มหาดไทยจนครบเทอม
จะมีแค่ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเกิดจุดพลิกผันทางการเมือง หลัง “พรรคภูมิใจไทย” เปิดตำนาน“มันจบแล้วครับนาย” แตกหักกับพรรคพลังประชาชน หันไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์
ท่ามกลางเกมดุลอำนาจเวลานั้นกระทรวงมหาดไทยจึงตกไปอยู่ในการครอบครองของพรรคร่วมรัฐบาล มีรัฐมนตรีมหาดไทยชื่อ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเวลานั้น และเป็นบิดาของ “เสี่ยหนู” อนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยในเวลานี้
แน่นอนว่าในวันที่“สีน้ำเงิน” คุมเบ็ดเสร็จกระทรวงคลองหลอด ทั้ง“รัฐมนตรีว่าการ” และ “รัฐมนตรีช่วย” อีก2คน รวมไปถึงบรรดา “สิงห์คลองหลอด” ในกรม กองสำคัญ ที่ล้วนเป็นคนของฝั่งสีน้ำเงินแทบทั้งสิ้น “นายใหญ่” รวมถึงบรรดา “พลพรรคเพื่อไทย” ย่อมรู้ดีว่า “1รัฐมนตรีช่วย” มหาดไทย ที่อยู่ในการครอบครองของพรรค ไม่เพียงพอในการทัดทานดุลอำนาจสีน้ำเงินที่ปกคลุมกระทรวงคลองหลอดในเวลานี้
อย่าลืมว่า ขณะนี้อายุรัฐบาลกำลังนับถอยหลัง2ปีสุดท้าย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปั๊มผลงานดันโครงการต่างๆลงไปในพื้นที่เพื่อ “ตุนแต้ม-ตุนกระสุน”ไว้ใช้ในการเลือกตั้งทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
สอดคล้องกับที่ “ทักษิณ” ระบุ การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย เวลานี้เหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่
ยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ลืม ในการเลือกตั้งทั้งในสนามเล็ก-สนามใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น “เพื่อไทย” และ“ภูมิใจไทย” ยังถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญในหลายสมภูมิเลือกตั้ง
ไล่ย้อนกลับไปตั้งแต่การเลือกตั้งสนามใหญ่ครั้งล่าสุดเมื่อปี2566 พรรคเพื่อไทยกวาดสส.มาได้141 ที่นั่ง(บวก1ที่นั่งจากศึกเลือกตั้งซ่อมรวมเป็น142ที่นั่ง) ขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้มา71 ที่นั่ง
เจาะลึกพื้นที่สำคัญอย่างภาคอีสานซึ่งถือเป็นสมรภูมิรบของทั้ง2พรรค พบว่า เพื่อไทย มีสส. 73 ที่นั่ง, ภูมิใจไทยมีสส. 35 ที่นั่ง
ขณะที่ศึกชิงนายกอบจ. เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อไทยชนะไป 17 จังหวัดในนามพรรค และเครือข่ายเพื่อไทยอีก9จังหวัด รวมเป็น 26จังหวัด ขณะที่ภูมิใจไทยในวันที่คุมกระทรวงมหาดไทย ชนะไป21จังหวัด
เหนือไปกว่านั้นนับตั้งแต่ต้นปี2568ที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้ว2สนามคือนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมถึงนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล(สท.) ส่วนในเดือนพ.ย.จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาอบต. และนายกอบต.ทั่วประเทศ
ขณะที่ในปี2669 จะมีการเลือกตั้ง2สนาม ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(ผู้ว่ากทม.)และสมาชิกสภากรุงเทพ(สก.)ทั้ง55เขต
แน่นอนว่า สนามเมืองหลวงจะถือเป็นอีกหนึ่งศึกเลือกตั้งที่จะเดิมพันอนาคตของพรรคเพื่อไทย หลังได้รับบทเรียนในการเลือกตั้งสนามใหญ่ที่พ่ายแพ้ให้กับพรรคส้มแบบราบคาบ ได้สส.กทม.มาเพียง 1ที่นั่ง ฉะนั้นหากมีอำนาจจัดการเลือกตั้งอยู่ในมือย่อมเป็นโอกาสในการกู้วิกฤติแถมตุนกระสุนไปถึงการเมืองสนามใหญ่ได้อีกด้วย
ขณะที่ในเดือนพ.ค.จะมีการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา จากนั้นในปี2570 จะมีการเลือกตั้งสส.ทั้งประเทศ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอุบัติเหตุการเมืองเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลครบวาระการเลือกตั้งสนามใหญ่ก็อาจเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด
เช่นนี้ต้องจับตาศึกแดง-น้ำเงินที่กำลังก่อตัวขึ้นในเวลานี้ เมื่อต่างฝ่ายต่างต้องการใช้ประโยชน์จากอำนาจฝ่ายปกครอง ที่ไม่ได้มีแค่การจัดการเลือกตั้ง แต่ยังหมายรวมไปถึงใช้“ฟันเฟือง” ท้องถิ่นในการผลักดันโครงการต่างๆลงไปในแต่ละพื้นที่ เพื่อตุนแต้มต่อทางการเมืองอีกด้วย
แน่นอนว่า การที่ “ทักษิณ” ส่งสัญญาณ “หักดิบ” ยึดคืนกระทรวงสำคัญนั่นอาจเป็นเพราะมั่นใจว่า ต่อให้สัญญาณดังกล่าวจะล่วงรู้ไปถึง“ครูใหญ่สีน้ำเงิน” กลายเป็นศึกไฟท์ติ้งอีกระลอก แต่ถึงอย่างไร “ภูมิใจไทย” ที่ไม่ได้หวังจะเป็นฝ่ายค้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงไม่กล้าประกาศถอนตัวร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน
ตามกระแสข่าวบอกว่า หากปฏิบัติการยึดคืนมหาดไทย บรรลุเป้าเพื่อไทยจะสลับ “อนุทิน” ไปนั่งกระทรวงรมว.ศึกษาธิการ หรือ รมว.พาณิชย์
โฟกัสที่กระทรวงเสมา น่าสนใจตรงที่ หากย้าย “มท.หนู”ไปเป็น “ครูหนู” แทน “ครูอุ้ม” พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ต้องจับตาว่า จะมีการจัดสรรอำนาจภายในพรรคสีน้ำเงิน ระหว่าง “น.หนู” และ “น.เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่สีน้ำเงินอย่างไร
เพราะในส่วนของ “ครูอุ้ม”นั้นเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในโควตาชิดชอบ แทน “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ผู้เป็นน้องชายที่ติดบ่วงการเมือง ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาโควตาแทน “ไชยชนก” ผู้เป็นหลานชายรอวันพร้อมขึ้นแท่นเสนาบดี ฉะนั้นจึงต้องจับตาว่าฝั่ง“ครูใหญ่สีน้ำเงิน” จะแก้เกมหรือโยนไพ่ต่อรองอย่างไรหลังจากนี้
อีกสูตรบอกว่า พรรคเพื่อไทยมีการโยนช้อยส์กระทรวงพาณิชย์ สาธารณสุข และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเพื่อแลกกับกระทรวงมหาดไทย ทว่าที่น่าสนใจคือ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขต้องไม่ลืมว่า เวลานี้ “นายใหญ่” มีคดีชั้น14ค้างคาอยู่ โดยเฉพาะการเตรียม “วีโต้” มติแพทยสภา เป็นเช่นนี้เพื่อไทยจะยอมปล่อยให้ไปอยู่ในมือพรรคร่วมรัฐบาลได้โดยง่ายหรือไม่เป็นเรื่องที่น่าคิด
ศึกแดง-น้ำเงิน ที่กำลังเปิดฉากไฟท์ติ้งในเวลานี้แม้ก่อนหน้า“ทักษิณ” จะชิงสยบปมร้าว ระหว่างปาฐกถาพิเศษประเด็นยาเสพติด ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ด้วยการปล่อยซีนกอดคอ“อนุทิน”โชว์สื่อ สวนกลับ“คนปั่นพายุ”
แต่ว่ากันว่า ในวันดังกล่าว มีบางช็อตบางตอนนอกวงสัมภาษณ์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้แฮ๊ปปี้เหมือนที่ปรากฎออกสื่อ แต่ออกแนวข่มกันเสียมากกว่า
หลังเสร็จสิ้นการพิจารณางบประมาณ2569 วาระแรก “นายกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชิงตัดบทสยบครหา “ครอบงำพรรค” ของผู้เป็นบิดา ยืนยันว่า หากมีการปรับครม.จะต้องพูดคุยด้วยตนเอง
เช่นนี้จึงต้องจับตาท่ามกลางสารพัดเกมการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างเปิดฉากรบอยู่ในเวลานี้ สุดท้ายจะกลายเป็นเกมหักดิบจน“แตกหัก” หรือจะจบลงด้วยการเปิดฉากต่อรองฉากใหม่เพื่อประคับประคองรัฐบาลไม่จนครบเทอม!







