ถกงบฯ69วันสุดท้าย บรรยากาศเงียบเหงา หลังช่วงเช้า ไร้เงา 'รมต.'

สภาฯ ถกงบฯ69 วันสุดท้าย บรรยากาศช่วงเช้าสุดเงียบเหงา หลัง "รมต." หลบสื่อ หลัง "ทักษิณ" ทวง "มท." คืน ด้าน "ปชน." ซัดกรมป่าไม้ได้งบสูง แต่ไม่แก้ปัญหาที่ดิน
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ (เป็นพิเศษ) มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ซึ่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยบรรยากาศช่วงเช้าเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยเฉพาะบริเวณประตูหน้าอาคารรัฐสภา ที่เป็นทางเข้าหลักของรัฐมนตรี ปรากฏว่าพบเพียงน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม ที่ใช้ทางเข้าดังกล่าว ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ ทั้งจากพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม ไม่พบการปรากฎตัว ทั้งนี้คาดว่ารัฐมนตรีของทุกพรรคการเมืองต้องการสงวนท่าที หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์เมื่อ 30 พ.ค.ว่า พรรคเพื่อไทยจะดึงกระทรวงมหาดไทยไปดูแล
ขณะที่บรรยากาศการอภิปรายงบประมาณฯ 69 ยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยช่วงเช้า สส. พรรคฝ่ายค้านได้ เน้นการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน
โดย นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า การจัดสรรที่ดินทำกินไม่ควรเอาที่ทับซ้อนไปจัดแบบเหมารวม ซึ่งการแก้ไขปัญหาสิ่งที่จำเป็นต้องทำคือต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อน และออกเอกสารสิทธิ์ตาม ที่แต่ละคนพึงมีพึงได้แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลนี้เอาไปจัดแบบ อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล(คทช.)ทั้งหมด ซึ่งปัญหาที่ดินทับซ้อนมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน
นายเล่าฟั้ง อภิปรายต่อว่าซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่อยู่ก่อนการประกาศเขตที่ดินของรัฐ 2.กลุ่มที่อยู่หลังการประกาศแต่อยู่มานานแต่รัฐบาลมีนโยบายให้สิทธิ์ และ 3. กลุ่มที่บุกรุกแต่รัฐบาลมีนโยบายผ่อนผันให้ ดังนั้นเมื่อแต่ละกลุ่มมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันความชอบธรรมที่จะได้รับสิทธิ์ของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกัน การออกเอกสารแสดงสิทธิ์จึงควรต้องแยกออกจากกันด้วย ไม่ใช่บังคับให้ไปทำแบบเดียวกันทั้งหมด
นายเลาฟั้ง กล่าวต่อว่า เมื่อดูรายละเอียดของงบประมาณการแก้ไขที่ทำกินของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ พบว่าตั้งงบประมาณรวมกัน 692 ล้านบาท ถือว่ามาก แต่เป็นกิจกรรมแก้ไขที่ดินทำกินเพียง 34 % นอกจากนั้นในปัจจุบันยังเหลือโครงการปฏิรูปที่ดินค้างไว้ 3 กลุ่ม เนื้อที่รวม 5.5 ล้านไร่ คือกลุ่มที่ดินในเขต สปก. นิคมสร้างตนเอง และนิคมสหกรณ์ ทั้ง3 กลุ่มนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเป็นเวลานานแล้ว ทั้งๆที่กฎหมายก็ยังมีอยู่ แต่ไม่มีนโยบายให้ทำต่อ
"งบ 69 พบว่ากรมพัฒนาสังคมและสัวสดิการ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไม่ได้จัดงบประมาณในการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมแล้ว ส่วนสปก.ตั้งงบไว้เพียง 16 ล้านบาท ในขณะที่มีพื้นที่เป้าหมายรอดำเนินการ 3 ล้านไร่ แบบนี้ แสดงว่ารัฐบาลไม่คิดที่จะเดินหน้าจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ทำค้างไว้ทั้ง 3 กลุ่มนี้ต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องยุตติการนำที่ดินทั้ง 3 กลุ่มนี้ไปจัดแบบคทช. แต่เดินหน้าจัดตามกฎหมายให้เสร็จ" นายเล่าฟั้ง อภิปราย







