เปิดสูตรปรับ ครม.หัก‘ภูมิใจไทย’ เกมแรงยึดคืน‘มหาดไทย’

การเมืองร้อนในห้วง "มิถุนายน" ม็อบเตรียมผสมโรงปลุกเร้าคดีชั้น 14 ที่มีผลต่อสถานะ "ทักษิณ ชินวัตร" ขณะเดียวกันยังมีกระแสข่าวนายกฯ จะชิงปรับ ครม.หลังผ่านงบฯวาระแรก
KEY
POINTS
- การเมือง ห้วง มิ.ย. ยังระอุ ม็อบเดินเกมรุกโหนคดีชั้น 14 หวังโค่นผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทย
- ปลุกม็อบสร้างความขัดแย้ง สูตรสำเร็จวงจรอุบาทว์การเมืองไทย 20 ปีที่ผ่านมา ที่มักจบลงด้วยการรัฐประหาร
- "ทักษิณ" ประกาศชัดนาทีนี้ยังไม่มียุบสภา เพราะยังไม่ใช่สภาพที่ “รัฐบาล” กุมความได้เปรียบ
- คาดสูตรชิงปรับ ครม.เล่นเกมไว หลังสภาฯ ผ่าน งบฯ ปี69 วาระแรก
- จับตาเกมแตกหัก "เพื่อไทย" ยึดกระทรวงมหาดไทยจาก "อนุทิน ชาญวีรกูล"
- สูตรปรับ ครม.แตกหัก “พรรคภูมิใจไทย” ลดทอนอำนาจ แรงต่อรอง อาจสร้างเงื่อนไขใหม่ นำไปสู่ความขัดแย้ง
"ทักษิณ ชินวัตร" นายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย ปรากฏตัวอีกครั้งในรอบก่อนสิ้นเดือน พ.ค. 2568 ท่ามกลางกระแสข่าวหลบหนีออกนอกประเทศ จึงสยบข่าวลือ ด้วยการปรากฏตัว ปาฐกถาพิเศษ เวทีของสำนักงาน ป.ป.ส.เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2568 โชว์ว่ายังอยู่ในประเทศ ไม่ได้หลบหนีตามเสียงปลุกเร้าของขั้วตรงข้าม โชว์ภาพว่าศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาลยังอยู่
จับจังหวะหัวหอกนอกสภาฯ ผ่านการโหมกระแสโดย “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตประธาน นปช. ที่ปัจจุบันเป็นแกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ที่เพิ่งโชว์ภาพสวมกอด “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตร เสื้อเหลือง โดยล่าสุด“จตุพร” ยืนยันฟันธงว่า “ทักษิณ”จะเลือกไม่ไปตามนัดศาลวันที่ 13 มิ.ย. ที่นัดไต่สวนกรณีพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ
จะว่าไปแล้ว คดีชั้น 14 ยังไม่จบลงง่ายๆ การที่ศาลใช้อำนาจไต่สวนด้วยตัวเอง ย่อมเป็นช่องทาง ในการเดินเกมการเมืองนอกสภาฯ อีกระลอก หากมองผ่านปรากฏการณ์ ม็อบเสื้อเหลือง ม็อบ กปปส. จนมีการคาดการณ์กันว่า ให้จับตาก่อนถึงวันที่ศาลนัดไต่สวน 13 มิ.ย. อาจมีการปลุกมวลชนอีกครั้ง เพื่อรอจังหวะเวลา เร่งเร้าสถานการณ์มวลชนนอกสภา
สูตรสำเร็จในการใช้วงจรอุบาทว์ในห้วงการเมืองไทย 20 ปีที่ผ่านมา คือการสร้างเงื่อนไข ปลุกม็อบ จนเกิดความขัดแย้งในสังคม รัฐบาลเกิดสุญญากาศ จนผู้นำเหล่าทัพต้องออกมายุติสถานการณ์ ด้วยการรัฐประหาร
สารพัดเงื่อนไขที่ม็อบจับจ้อง ทั้งกรณีสภาฯ ผ่านร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เพื่อให้มีกาสิโนในพื้นที่ร้อยละ 10 ต่อต้าน“ทักษิณ”ว่าด้วยปมร้อน ยังไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว
เวลานี้ ม็อบนอกสภาฯ ล่อเป้าชู “ทักษิณ” เป็นเป้านิ่ง ที่คอยสุมเชื้อไฟ และเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของรัฐบาลในเวลาเดียวกัน เพราะหากล้ม “ทักษิณ”ได้ อำนาจทางการเมืองของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ จะอ่อนกำลังลงทันที
วลี "ระบอบทักษิณใหม่" ยังถูก "วรง เดชกิจวิกรม" นำมาใช้โค่นล้ม "รัฐบาลเพื่อไทย" โดยพยายามชี้ว่า "ทักษิณพยายามอ้างสถาบัน เหมือนว่าตัวเองแสดงความจงรักภักดี แต่คนแบบนี้ไว้ใจไม่ได้ วันที่กระชับอำนาจได้ อันตราย นี่คือระบอบทักษิณใหม่”
จับตามิถุนาการเมืองร้อน
เดือน มิ.ย. 2568 จึงถูกจับตาว่าเป็นเดือนมิถุนาร้อน ชี้ความเป็นไปของรัฐบาลปัจจุบัน ผ่านการจับตาว่า ศาลจะเดินเกมอย่างไรต่อกับคดีของ“ทักษิณ”
แน่นอนว่า สภาจะโหวตรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาทในระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค. 2568 เพราะเสียงภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่น่ามีปัญหาในชั่วโมงนี้ และจะรับหลักการอย่างท่วมท้น ยังไม่ถึงขั้นแตกหักตามเสียงขู่ในหมู่“สีน้ำเงิน”ก่อนหน้านี้
ขุมกำลังพรรคร่วมรัฐบาลยังมีเสียงในสภาฯ เพิ่มขึ้นมาเป็น 324 เสียง เมื่อ“พรรคกล้าธรรม” คว้า สส.เพิ่มขึ้น 1 เสียง รวมเป็น 26 เสียงจากการเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช ทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรค เป็น “พยัคฆ์ติดปีก”
ขณะที่ “พรรคภูมิใจไทย” มีเสียง สส.ลดลงเหลือ 69 เสียง แม้ “ทักษิณ” จะการันตีด้วยการกอด “อนุทิน ชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยโชว์ผ่านสื่อว่าอยู่ด้วยกันจนจบ แต่ท่าทีของ สว.สีน้ำเงิน กลับเดินเกมต้านคดีฮั้ว สว.อย่างหนักหน่วง
จับอาการ “นายใหญ่” ค่าย “เพื่อไทย” พูดชัดนาทีนี้ยังไม่มียุบสภาเพื่อนับถอยหลังเลือกตั้งใหม่ เพราะจังหวะยังไม่ใช่สภาพที่ “รัฐบาล” กุมความได้เปรียบ ถ้าเกิดมีการเลือกตั้งในช่วงนี้ กระแสอาจพลิกเข้าทาง “พรรคประชาชน”
ผู้กำกับ “รัฐพันลึก” ยังคงต้องการโจทย์เดิมอยู่คือ ถ้ามีการเลือกตั้งใหญ่ ต้องไม่ให้ “ก๊กสีส้ม” เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ผู้กำกับรัฐพันลึกยังจำเป็นต้องพึ่งพาพรรคการเมืองค่ายแดงผนึกค่ายอนุรักษนิยมเก่าในการล้ม “ค่ายสีส้ม”
คาดปรับครม.หลังจบงบฯ 69 วาระแรก
ว่ากันว่า หลังผ่านงบฯ วาระแรก ฉากต่อไป “นายใหญ่” จะทิ้งไพ่ทางการเมือง ด้วยการส่งสัญญาณไปยัง “นายกฯแพทองธาร” ให้ชิงปรับ ครม.เพื่อลดอุณหภูมิเกมล้มรัฐบาลนอกสภาฯ
ทำให้มีเสียงซุบซิบในปีกรัฐบาลว่า ต้องจับตาถึงนาทีสุดท้ายของการปรับ ครม.ว่า “พรรคสีน้ำเงิน” จะยังอยู่ร่วมรัฐบาลหรือไม่ ท่ามกลางเกมรบแตกหักสงครามตัวแทนผ่าน สว.สีน้ำเงิน
ขณะที่ผู้มีอำนาจสูงสุดใน “พรรคกล้าธรรม” ก็พยายามแต่งตัวรอนั่งรัฐมนตรีอยู่เต็มที่ จากผลงานโค่นล้มค่ายน้ำเงินในภาคใต้ได้ล่าสุด
อัปเดตจังหวะการปรับครม.ล่าสุด น่าจะเกิดขึ้นในห้วงราวเดือน มิ.ย.- ก.ค.นี้ เพราะ “นายใหญ่”และ“เพื่อไทย” ต้องเร่งกู้คะแนนและทำแต้มให้กับรัฐบาล มิเช่นนั้น “ค่ายแดง” อาจต้องกลายเป็นพรรคที่มี สส.ต่ำกว่าร้อยเสียงในสภาฯ
สมการในใจของ “ศาสดาเพื่อไทย” ย่อมรู้ดีว่าโอกาสที่ “เพื่อไทย” จะมี สส.ถึง 200 เสียงเป็นไปได้ยาก จึงต้องพึ่งพาหัวหอกพันธมิตรบางพรรคที่เป็นขุนพลข้างกายในอนาคต
จังหวะทิ้งไพ่ ปรับ ครม.หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านวาระแรก จึงต้องจัดทัพปรับเสนาบดีให้ดีๆ เพราะต้องไม่ลืมว่า เงื่อนไขคุณสมบัติ “จริยธรรม-ซื่อสัตย์สุจริต” ยังเป็นอาวุธลับที่ฝ่ายรอล้มรัฐบาล สามารถเดินเกมยื่นให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญโค่นผู้นำรัฐบาลได้ทุกเมื่อ
พท.ยึดมหาดไทย “ประเสริฐ”ลุ้นมท.1
สำหรับโผปรับ ครม. ล่าสุดมีความเป็นไปได้สูงที่ “ทักษิณ - แพทองธาร” จะเดินเกมแตกหัก “พรรคภูมิใจไทย” โดยยึดกระทรวงมหาดไทยจาก “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากต้องการที่จะควบคุมกลไกท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นฐานกำลังหลักในการเลือกตั้งปี 2570
โดยมีชื่อของ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ส่วน “อนุทิน” คาดการณ์ว่าอาจจะโยกไปดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ หรือ รมว.พาณิชย์
อย่างไรก็ตาม หากจะไปดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ จะต้องโยก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ออกจากตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ส่วนจะโยกไปกระทรวงใด ต้องรอเจรจาอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันมีชื่อ “จักรพงษ์ แสงมณี” อดีต รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี จะเข้ามานั่ง รมว.ดีอี แทน “ประเสริฐ”
กล้าธรรม สลับ“อรรถกร”รมว.เกษตรฯ
ส่วนพรรคกล้าธรรม มีความเป็นได้ ที่จะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี โดยโยก “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมว.เกษตรและสหกรณ์ออก เพื่อเปิดทางให้ “อรรถกร ศิริลัทธยากร” สายตรง ร.อ.ธรรมนัส มานั่นแทน ส่วน “นฤมล” มีโอกาสที่จะถูกขยับไปนั่ง รมช. คลัง ซึ่งมีความถนัดมากกว่า
รทสช.เขย่าโควตา“พีระพันธุ์-เอกนัฏ”
สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) สถานการณ์ภายในพรรคแบ่งเป็น 2 สาย คือสาย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค โดยมี “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรค เป็นคนคุมกำลังหนุน และสายของ“นายทุนพรรค”
โดยมีความเป็นไปได้ที่โควตารัฐมนตรีจะต้องแบ่งกันใหม่ หาก “พีระพันธุ์” ยังอยู่ในตำแหน่ง รองนายกฯ รมว.พลังงาน จะทำให้ “เอกนัฏ” อาจพ้นจาก รมว.อุตสาหกรรม
ในทางกลับกันหาก “เอกนัฏ” ยังนั่ง รมว.อุตสาหกรรม “พีระพันธุ์” อาจพ้นรองนายกฯ รมว.พลังงาน โดยมีชื่อของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รอเข้ามาเสียบแทน และ “พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ” มีลุ้นเข้ามานั่ง รมว.อุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม หากทิศทางการปรับครม.ของ “รทสช.” เป็นไปตามสูตรดังกล่าว “พีระพันธุ์” อาจจะสุ่มเสี่ยงมากกว่า “เอกนัฏ” เนื่องจากมีคดีแจกถุงยังชีพติดป้ายชื่อตัวเอง ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. และคดีดำรงตำแหน่งในกรรมการ 4 บริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องให้ กกต. สอบสวน ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา “เอกนัฏ” มีผลงานค่อนข้างดี โดยเฉพาะการปราบปรามอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ และที่สำคัญกำลัง สส. ส่วนใหญ่ของพรรครทสช.ไว้วางใจการทำงานของเลขาธิการพรรค รทสช.
“พิชัย-เผ่าภูมิ-ธีรรัตน์”ส่อพ้นรมต.
ส่วน “รัฐมนตรี” ที่มีโอกาสหลุดจากตำแหน่ง ประกอบด้วย “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ “ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” รมช.มหาดไทย “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง และ “อิทธิ ศิริลัทธยากร” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขณะเดียวกันมีชื่อของ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” อดีตรมว.สาธารณสุข มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
เกมการเมือง กำลังเดินเข้าสู่โหมดขยับเพื่อไปต่อ ดังนั้นจึงต้องรอลุ้นว่า “นายใหญ่” จะจัดระเบียบรัฐบาลพ่อเลี้ยง ให้ลูกสาวไปต่อได้ราบรื่น ได้อย่างไร
ท่ามกลางสมรภูมิรบ “ขั้วแดง - ขั้วน้ำเงิน” ที่กำลังลุ้นถึง สูตรปรับ ครม.แตกหัก“พรรคภูมิใจไทย” เพื่อแก้ปัญหา ลดทอนอำนาจ แรงต่อรอง แต่อีกทางหนึ่ง ก็อาจกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ นำไปสู่ความขัดแย้ง ที่ยกระดับความรุนแรงได้เช่นกัน







