‘ทักษิณ’ จุดชนวนท้ารบ ประกาศสงครามปราบปรามยาเสพติด ภาค 2

‘ทักษิณ’ จุดชนวนท้ารบ ประกาศสงครามปราบปรามยาเสพติด ภาค 2

การประกาศสงคราม“ยาเสพติด”ของนายกฯ หลังม่าน จึงเป็นโจทย์ใหญ่ท้าทาย “รัฐบาลเพื่อไทย” ทั้งการแก้ปัญหานอกประเทศ และในประเทศ ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่

KEY

POINTS

  • "ทักษิณ ชินวัตร" เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติด ขันอาสาลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อรายงานข้อมูลให้ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร
  • ข้อมูลฐานการผลิต ถูกส่งตรงมายัง “รัฐบาล-ทักษิณ” โฟกัสหลักอยู่ที่ “กลุ่มว้าแดง” ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของ “เมียนมา” 
  • แม้สายสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” กับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา จะมักคุ้นกันอย่างดี แต่การทลาย “กลุ่มว้าแดง” ไม่ใช่เรื่องง่าย

ท่าทีของอดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติด ขันอาสาลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อรายงานข้อมูลให้ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร  

หากย้อนไปในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีข้อมูลจาก สส.เพื่อไทย เสนอในที่ประชุมพรรค ให้ยกระดับปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากมี “กลุ่มเยาวชน” ติดยาเสพติดจำนวนมาก และแพร่กระจายเกือบทุกชุมชน

“รัฐบาลเพื่อไทย” มีนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่หาเสียงไว้กับประชาชน ช่วงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เคยประกาศขับเคลื่อนนโยบาย “ปลุก เปลี่ยน ปราบ” เร่งปราบปรามยาเสพติด ให้เห็นผลรูปธรรมภายใน 90 วัน ให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ทำสำเร็จตามเป้าหมาย ลงโทษ เจ้าหน้าที่ ที่บกพร่อง ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่

ต่อเนื่องรัฐบาลแพทองธาร เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2568 “นายกฯ อิ๊งค์” เปิดปฏิบัติการ Seal Stop Safe เพื่อสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน 51 อำเภอ

ผ่านไป 2 ปี 2 รัฐบาล สถานการณ์ยาเสพติดยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม หนำซ้ำปริมาณยาเสพติดกลับเพิ่มมากขึ้น 

โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พบว่าในปี 2567 มีการจับกุมยาบ้า 1,020.26 ล้านเม็ด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 กว่า 506.84 ล้านเม็ด เช่นเดียวกับยาเสพติดชนิดอื่น มีปริมาณการจับกุมเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด  
 

ล่าสุดถึงคราว “ทักษิณ” ออกมาประกาศทำสงครามยาเสพติดด้วยตัวเอง กำชับ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คอยสั่งการให้ “ฝ่ายปกครอง - ตำรวจ” ทำงานสอดประสานกันอย่างเข้มแข็ง

วางกรอบบูรณาการ การทำงานของหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบันมี 29 หน่วยงานรัฐ ที่จะมีส่วนในการปราบปรามยาเสพติด โดยจะมีการมอบ “เจ้าภาพหลัก” อย่างเป็นทางการ

ข้อมูลฐานการผลิต ถูกส่งตรงมายัง “รัฐบาล-ทักษิณ” โฟกัสหลักอยู่ที่ “กลุ่มว้าแดง” ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของ “เมียนมา” แม้สายสัมพันธ์ของ “ทักษิณ” กับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา จะมักคุ้นกันอย่างดี แต่การทลาย “กลุ่มว้าแดง” ไม่ใช่เรื่องง่าย

“ทักษิณ” ระบุว่า “วันนี้การผลิตแทบจะ 100% อยู่ที่ว้าแดง รัฐฉาน ถึงเวลาที่เราจะต้องขอความร่วมมืออย่างจริงจังกับประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งผลิตถ้าเมียนมาบอกว่าจัดการไม่ได้ เพราะเป็นชนกลุ่มน้อย เราคงต้องขอจัดการเอง เพราะมันเป็นศัตรูของเรา มันอยู่ในพื้นที่ไหน ถ้าเขาจัดการไม่ได้ เราต้องขออนุญาต วิธีจัดการของเรา ก็มีวิธีที่สากลรับได้”

ทว่าความเป็นชนกลุ่มน้อยของ “ว้าแดง” มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สายสัมพันธ์กับ “บิ๊กทหารเมียนมา” แน่นแฟ้น ไม่ต่างจากที่ “ทักษิณ” สนิทสนมกับ “มิน อ่อง หล่าย” แถมยังมีความสัมพันธ์ “บิ๊กเนมจีน” ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

การทลายฐานที่มั่นยาเสพติด ตามข้อมูลของ “ทักษิณ” ที่เล็งไปที่ “กลุ่มว้าแดง” หากจะเปิดศึกกันจริง อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่ลั่นวาจาเอาไว้ เนื่องจากฐานที่มั่นว้าแดงไม่ใช่ผืนแผ่นดินไทย ดังนั้นจึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสี่ยงละเมิดอธิปไตยเมียนมา

ที่สำคัญตั้งแต่ “มิน อ่อง หล่าย” ยึดอำนาจรัฐบาลเมียนมา ตั้งแต่ปี 2564 ศักยภาพทหาร "กองทัพเมียนมา" ลดน้อยลง สวนทางกับ “กลุ่มติดอาวุธ” ของ"ว้าแดง” ที่เข้มแข็งขึ้น

ขณะเดียวกัน “ทักษิณ” ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะหน่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด ที่มีมากถึง 29 หน่วยงาน และกระจายมากเกินไป และตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยงบ อันหอมหวานหรือเปล่า ไม่แน่ใจ วันนี้ต้องพยายามให้เหลือน้อยหน่วยงานที่สุด” 

ที่สำคัญ ทักษิณได้ระบุถึงข้อมูล เส้นทางลำเลียงสารตั้งต้น และยาเสพติดทั้งหลาย ที่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง จากที่ลักลอบเข้ามาทางชายแดน เดี๋ยวนี้พัฒนาการโดยมา “ทางเรือ” ดังนั้นความจำเป็น ในการปราบปราม คือ ตำรวจ ทหาร ศุลกากร และมหาดไทย 

เส้นทางใหม่นี้ ทำให้นายใหญ่เพื่อไทย โฟกัสไปที่การป้องกันชายแดน โดยเน้นย้ำว่า "ศุลกากร" เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ความดูแลของกระทรวงการคลัง ที่มีทีม “รัฐมนตรี” พรรคเพื่อไทย กำกับดูแล

“สบายจังเลย คอนเทนเนอร์ ศุลกากรเราวันนี้มีตู้เข้ามาประมาณ 6 ล้านตู้ต่อปี ที่นี่เครื่องเอกซเรย์มีไม่พอ มันเอกซเรย์ไม่หมดหรอก แล้วก็มีการเปิดตู้บ้าง ไม่เปิดตู้บ้าง ตั้งใจไม่เปิดตู้ก็มี แบบตั้งใจก็ตู้ละ 10,000 ไม่ต้องเปิด เพราะฉะนั้นวันนี้ศุลกากรเลยเป็นช่องว่างในการนำอะไรเข้ามาก็ได้ เคมีภัณฑ์ทั้งหลาย ที่เอามาผลิตยาเสพติดก็ไม่เปิดตู้ มันฟลุ๊คไม่เปิด หรือตั้งใจไม่เปิดไม่รู้ อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่ง”

สถานการณ์วันนี้ ศุลกากรจึงเป็นด่านสำคัญ ในการสกัดกั้นทั้งสิ่งของ สินค้าผิดกฎหมาย และปัจจุบันกำลังลามมาเป็นยาเสพติด ที่นำเข้าทางเรือ ฉะนั้น หากปล่อยปละละเลย อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ และกลายเป็นช่องโหว่ในการเก็บส่วย

อาจเป็นไปได้ว่า การแฉของ “นายใหญ่เพื่อไทย” น่าจะรับรู้ถึงข้อมูลที่ว่า ด่านศุลกากรใหญ่ๆ กำลังมี “บิ๊กเนม” การเมือง ทำรายได้เดือนละ 5 ล้าน บวกกับค่าประสานงานของนักการเมืองรุ่นใหม่ ระดับเลขาฯ อีกเดือนละ 1 ล้าน เบ็ดเสร็จเดือนหนึ่งได้เป็นกอบเป็นกำหลักร้อยล้าน 

ขณะที่การข่าวเชิงลึก ก็ระบุว่ากระทรวงซอยอารีย์ น่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อตรวจสอบสินค้าเช่นกัน แต่มีปฏิบัติการลับของใครบางคน ทำให้การตรวจสอบมีปัญหา จนส่งผลกระทบในหลายมิติ ที่ไม่ใช่แค่ขบวนการลักลอบขนยาเสพติด

ดังนั้น การประกาศสงคราม “ยาเสพติด” ของนายกฯ หลังม่าน จึงเป็นโจทย์ใหญ่ท้าทาย “รัฐบาลเพื่อไทย” ทั้งการแก้ปัญหานอกประเทศ และในประเทศ ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เพราะพื้นที่แพร่ระบาดของยาเสพติดที่กระจายไปทั่วประเทศ กระทบทั้งความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์