นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ จัดสรรงบ 69 ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ จัดสรรงบ 69  ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

สภาฯ ถกงบปี 69 วาระแรก นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ - 1 รายการ ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ คาดเศรษฐกิจในปี 2569 ขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3  

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ ในช่วง16.00 น. ที่ประชุมได้เข้าสู่วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) เพื่อรับหลักการในวาระแรก 

โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลักการ และเหตุผลในการเสนอร่างต่อสภาฯ ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณที่รัฐบาลนำเสนอต่อสสภาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ต่อยอดการพัฒนาภาคการผลิต  และบริการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และความเสมอภาคทางสังคมดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ของประชาชน ผ่านการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทต่างๆ และนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

ตามแถลงภาวะเศรษฐกิจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ  และสังคมแห่งชาติ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เศรษฐกิจไทยในปี 2568  คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัว ของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 

นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ จัดสรรงบ 69  ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ จัดสรรงบ 69  ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง และมีปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกัน ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนในภาคเกษตร

สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 

นายกฯ ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

ในขณะที่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในช่วง  ร้อยละ 0.5 - 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 2.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ขณะที่หนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 12,080,809.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ  ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่30 เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 252,124.8 ล้านบาท 


 

โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับ และรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ฐานะ และนโยบายการเงิน  เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลก และมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพ และลดต้นทุน ของภาคธุรกิจ ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว คณะกรรมการนโยบายการเงิน

จึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี   ในการประชุมเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถดูแลภาวะการเงิน ให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป 

สำหรับฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี  มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง 

ส่วนนโยบายการคลัง และความสัมพันธ์ระหว่างรายรับ และงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้ง ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ปีงบประมาณ พ.ศ.2569 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนการฟื้นตัว และส่งเสริมอัตรา การขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

นายกฯ ชู 6 ยุทธศาสตร์ จัดสรรงบ 69  ขับเคลื่อน - รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรสุทธิ การขายสิ่งของ และบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมทั้งสิ้น จำนวน 3,061,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 141,000 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรร เป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,920,600 ล้านบาท และกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท

รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย 

นายกฯ ยังกล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำแนกตาม ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ กำหนดไว้จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 415,327.9 ล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 11.0 ของวงเงินงบประมาณ

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 394,611.6 ล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 10.5 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจ ของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 605,927.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนา และส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้คู่คุณธรรม และคุณภาพชีวิตที่ดี

ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 942,709.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ

ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 147,216.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.9 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างการเติบโต อย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจภาคทะเล ส่งเสริมการรับมือ กับภัยธรรมชาติ การจัดการมลพิษ และสุขภาพประชาชน และการบริหารจัดการ ผลิตภาพน้ำทั้งระบบ จำแนกการดำเนินงานที่สำคัญ

ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 605,441.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐ ให้มีขีดสมรรถนะสูง โดยเปลี่ยนผ่านไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล  การจัดการปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ

นายกฯ ยังกล่าวว่า ขณะที่รายการค่าดำเนินการภาครัฐ  รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 669,365.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับ เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง ดังนี้ แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 123,960.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 

การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง  ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง  รวมทั้งการกระตุ้น และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลัง 

ขณะที่การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 421,864.4 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้ และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ  

นอกจากนี้ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท  เพื่อเป็นรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า  ร่างพ.ร.บ.งบประมาณที่รัฐบาลเสนอในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟู และขับเคลื่อน เศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รัฐบาลจึงดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 

โดยกำหนดวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เพื่อให้ หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณที้ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง  การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ตลอดจนปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ

เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์