'สำนักงบประมาณรัฐสภา' วิเคราะห์งบ 69 ไม่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ

'สำนักงบประมาณรัฐสภา' วิเคราะห์งบ 69 ไม่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ

"สำนักงบประมาณ รัฐสภา" เผยผลวิเคราะห์ ร่างกฎหมายงบฯ 69 ไม่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ดัชนีประชาธิปไตย รายได้ คุณธรรม พร้อมแนะให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการระยะยาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ได้นัดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ระหว่างวัทที่ 28 -31 พ.ค.68 โดยมีวาระพิจารณาสำคัญ คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569  วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ ในวาระแรก

โดยสภาฯ ได้เตรียมความพร้อมเพื่อพิจารณาดังกล่าว โดยได้จัดสรรเวลาอภิปราย รวม 41 ชั่วโมง แบ่งเป็น เวลาที่ สส.รัฐบาลและ ครม. จำนวน 20 ชั่ว ขณะที่ สส.ฝ่ายค้าน จำนวน 20 ชั่วโมง และเวลาของประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้สำนักงบประมาณของรัฐสภา (สงร.) ได้ทำรายงานวิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.งบฯ 2569 เพื่อเตรียมให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาก่อนการอภิปรายเนื้อหา โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ อาทิ การกำหนดกรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้ 2.9 ล้านล้านบาท และวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 8.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบเพดานเงินกู้ตามกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะ ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท

 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ พบว่าได้รับจัดสรรเพิ่มขึ้น ยกเว้นยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุล และการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ซึ่งอาจสะท้อนต่อนโยบายที่มุ่งลดการใช้จ่ายการบริหารงานภาครัฐที่ลดลง 

ทั้งนี้มีข้อพึงระวังต่อสถานการณ์การบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี2567 ที่ลดลง  อาทิ ดัชนีประชาธิปไตย อัตรารายได้ต่อหัวประชากร คุณธรรมของคนในสังคม การมีส่วนร่วมด้านชีวิต ครอบครัวและชุมชน รวมถึงความยากจนของกลุ่มผู้สูงอายุ

การวิเคราะห์ยังได้พิจารณาถึง แนวโน้มวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี  พบรายจ่ายประจำสูงถึง 70.1% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูง และเป็นภาระต่องบประมาณจึงควรได้รับการทบทวนปรับโครงสร้างการบริหารภาครัฐ ขณะที่รายจ่ายลงทุนอยู่ที่ 22.9% แม้ว่าสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายตามกรอบวินัยการเงินการคลังภาครัฐ แต่รัฐบาลควรทบทวนความเหมาะสมเพื่อให้รายจ่ายลงทุนสามารถยกระดับการแข่งขันของประเทศ

งบประมาณรายจ่ายจำแนกตามลักษณะงาน พบว่ามีการจัดสรรงบประมาณด้านเศรษฐกิจลดลง 13.8% โดยลดลงในด้านเศรษฐกิจทั่วไป การพาณิชย์ การแรงงานกว่า 59% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายมิติ โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้นจากภาครัฐ

งบประมาณรายจ่ายจำแนกตามกระทรวง พบว่าโครงสร้างงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่  งบกลาง ส่วนของเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เพิ่มจากปี 68  รวม 9,788 ล้านบาท กระทรวงการคลัง พบรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 10,845 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ ภาพรวมได้รับจัดสรรเพิ่มขึ้น 1.4 หมื่นล้านบาท โดยพบว่ามีรายจ่ายบุคลากรมากถึง 62% กระทรวงมหาดไทย เพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท ทุนหมุนเวียน พบว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  (สปสช.) 25,552 ล้านบาท

งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ภาพรวมพบว่า 79.2% เป็นงบบุคลากรภาครัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาระงบประมาณระยะยาวที่รัฐต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพยั่งยืน ขณะที่งบประมาณจังหวัด และกลุ่มจังหวัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะมีโครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ขอจัดสรรเพิ่มมากขึ้น จำนวน 6,582 ล้านบาท ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2568 คิดเป็นน 25.4% เกือบเต็มกรอบการจัดสรรงบประมาณของกรรมการนโยบายบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการที่กำหนดไว้ 2.8 หมื่นล้านบาท

“ทั้งนี้มีข้อค้นพบปัญหา และอุปสรรคจากการดำเนินงานช่วงหลายปีที่ผ่านมาของจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ความล่าช้าในโครงการ ที่เกิดจาก ระเบียบกฎหมาย ปัญหาสาธารณภัย การปรับรูปแบบรายการก่อสร้าง การอุทธรณ์ผลการจัดซื้อจัดจ้าง และการทิ้งงานของผู้รับจ้าง ขณะที่เงินอุดหนุนส่วนท้องถิ่น จำนวน 3.8 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.3% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของ อปท.คิดเป็น 29.43% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดที่ 35% สะท้อนว่า อปท.ยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ในเชิงรายได้ และต้องอาศัยการอุดหนุนจากรัฐบาล ทั้งนี้ในเป้าหมายการขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ รัฐควรจัดสรรงบลงพื้นที่จังหวัด และออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงความยากจนหลายมิติ”  รายงานของ สงร. ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตอนหนึ่งในรายงานของ สงร. ยังได้วิเคราะห์ต่อประเด็นการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์)  ที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น ตอนหนึ่งว่า จากการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วยแบบจำลองของ สงร.  พบว่าการลงทุนที่คาดการณ์ 1แสนล้านบาท พบว่า จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 1.8 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ภาคก่อสร้าง 1 แสนล้านบาท ผลิตภัณฑ์อโลหะ 1.9 หมื่นล้านบาท ภาคบริการ 1.2 หมื่นล้านบาทและภาคการค้า 9.4 พันล้านบาท 

มีการกระจายค่าจ้าง และเงินเดือน 2.1หมื่นล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 2.7 หมื่นล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 1.5 หมื่นล้านบาท และภาษีทางอ้อมสุทธิ 4,508 ล้านบาท ทั้งนี้การลงทุนนี้อาจสร้างประโยชน์ระยะยาว

ขณะที่ผลกระทบทางลบ ที่อาจมีผลต่อสังคม เช่น ติดพนัน เกิดหนี้สินครัวเรือน ความรุนแรงในครอบครัว อาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การกู้เงินนอกระบบ การฟอกเงิน อาจเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ หากการกำกับไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้เกิดการทุจริต  การค้ามนุษย์ และความเสี่ยงต่อการเงินภายในประเทศ ทั้งนี้การเปิดกาสิโนอย่างเป็นทางการอาจกระทบค่านิยม และวัฒนธรรมไทย ค่านิยมของเยาวชนจากการแสวงหาความมั่งคั่งจากการพนัน

“ความท้าทายของไทย คือ การสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและป้องกันผลกระทบทางสังคม ทั้งนี้ 62.05% ของประเทศทั่วโลกมีกาสิโน แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการผลกระทบทางสังคม นอกจากนั้นควรวางแผนให้รอบคอบต่อการพัฒนาที่สมดุลระหว่างรายได้จากกาสิโน และกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงธุรกิจการพนันมากเกินไป และมีมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม ขณะที่ความไม่สมดุลในการกระจายผลประโยชน์ โดยค่าจ้าง และเงินเดือนมีสัดส่วน 31.3% ของมูลค่าเพิ่มทั้งหมด ขณะที่กำไรมีสัดส่วน 39.8% สะท้อนว่าประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับนักลงทุนมากกว่าแรงงาน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการกระจายรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำ” ข้อสังเกตของ สงร. ระบุ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์