โปรไฟล์ ‘บิน ลิง วู’ คีย์แมนคดีตึก สตง. วัดฝีมือดีเอสไอตามล่า

คุ้ยโปรไฟล์ “บิน ลิง วู” หรือใช้ชื่อไทยในการทำธุรกิจว่า “ชาญชัย รุ่งโรจน์ธนเจริญ” คือหนึ่งใน “คีย์แมนสำคัญ” ในการขับเคลื่อนธุรกิจของ "ไชน่า เรลเวย์” ในไทย
KEY
POINTS
- คุ้ยโปรไฟล์ “บิน ลิง วู” หรือใช้ชื่อไทยในการทำธุรกิจว่า “ชาญชัย รุ่งโรจน์ธนเจริญ” คือหนึ่งใน “คีย์แมนสำคัญ” ในการขับเคลื่อนธุรกิจของ "ไชน่า เรลเวย์” ในไทย
- เขาคือ หนึ่งในนักธุรกิจผู้บุกเบิกเครือข่ายทุนจีนกลุ่มนี้ใน 3 ยุค ระหว่างปี 2552-2567 ตั้งบริษัทรวมกันหลายสิบแห่ง ทุนจดทะเบียนหลายร้อยล้านบาท ก่อนเข้ามากวาดงานรัฐนับหมื่นล้านบาท
- ปัจจุบัน “กลุ่มเอกชน” ที่เกี่ยวข้องถูกออกหมายจับไปหมดแล้ว รวมถึงกลุ่ม 3 คนไทย ที่ถูกกล่าวหาเป็นนอมินีเช่นเดียวกัน
- เหลือแต่ตัว “บิน ลิง วู” คนสุดท้ายที่ยังคงหลบหนี และอยู่ระหว่างดีเอสไอ ตามสืบสวนล่าตัวมารับทราบข้อกล่าวหาอยู่ในตอนนี้
ประเด็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ วงเงินกว่า 2.1 พันล้านบาท ถล่มลงภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค.68 ที่ผ่านมา ปัจจุบันผ่านมาราว 2 เดือนแล้ว แต่เหมือนคดีความยังไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าที่ควร โดยเฉพาะการเอาผิดกับ “ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ” ที่ดูเหมือนยังไม่ดำเนินการใดๆ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาคารหลังนี้ ถูกก่อสร้างโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี คือ Joint Venture ระหว่าง “อิตาเลียนไทยฯ” รับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CREC ที่มี “ทุนจีน” ถือหุ้นใหญ่
กรุงเทพธุรกิจ ขยายผลนำเสนอข้อเท็จจริงพบว่า CREC ในไทย มีบริษัทเครือข่ายอีกกว่า 14 บริษัท โดยมี 3 คนไทย เข้าไปเป็นกรรมการ และถือหุ้น รวมถึงเข้าเป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกอย่างน้อย 19 โครงการ รวมวงเงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกหน่วยงานรัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำไปใช้
กระทั่งสืบค้นพบว่า CREC ได้งานรัฐรวมอย่างน้อย 29 สัญญา รวมวงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังได้แกะรอย เปิดโปงข้อเท็จจริงทั้งกิจการร่วมค้า PKW ที่เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึง TOR ต่างๆ ให้สาธารณชนรับทราบกันไปแล้ว
พฤติการณ์ของ CREC ในไทยนั้น ใช้โมเดลธุรกิจในลักษณะเป็น “กิจการร่วมค้า” กับเอกชนรายอื่นๆ โดยเริ่มจากเข้าไป “ซื้อซอง” เอกสารการประมูลงานรัฐ แต่ไม่ได้เข้าร่วม “ยื่นซอง” หรือ “ยื่นเสนอราคา” แต่กลับไปดีลกับเอกชนไทยที่ “ทุนหนา” เพื่อเข้าร่วมเป็น “กิจการร่วมค้า” ดำเนินการ “ยื่นซอง” ประมูลแทน
โดยนับตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มี “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” เริ่มจากประมูลงานรัฐขนาดกลาง วงเงินราว 100 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงงานขนาดใหญ่หลัก 300-500 ล้านบาท จนมาถึงงานระดับสัมปทานรัฐหลัก 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันเรื่องนี้ถูกแบ่งข้อเท็จจริงออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.กรณี “นอมินี” คนไทยถือหุ้นแทน “คนต่างด้าว” มีดีเอสไอ-กระทรวงพาณิชย์ เป็นแม่งานเข้าไปตรวจสอบ เบื้องต้นได้จับกุม “ชาวจีน” คือ ชวนหลิง จาง และคนไทย 3 คนคือ นายมานัส ศรีอนันท์ นายประจวบ ศิริเขตร และนายโสภณ มีชัย เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันทั้ง 4 คน ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำระหว่างสอบสวน
2.กรณี “วัสดุก่อสร้าง” ไม่ตรงสเปก และส่อไม่ได้มาตรฐาน มีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นแม่งาน โดย “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการฯ สั่งให้ตรวจสอบสเปกเหล็กที่ใช้ก่อสร้าง จนพบว่ามี “เหล็กข้ออ้อย” บางส่วนอาจไม่ได้มาตรฐาน มาจาก “ซินเคอหยวน สตีล” ธุรกิจที่มีเครือข่าย “ทุนจีน” ถือหุ้น จึงดำเนินการอายัดไว้ตรวจสอบ พร้อมกับสั่งเพิกถอน BOI บริษัทแห่งนี้แล้ว
3.กรณี “สาเหตุตึกถล่ม” ปัจจุบันมีตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย เป็นแม่งาน ปัจจุบันพุ่งเป้าไปที่ “การแก้แบบ” จำนวน 9 ครั้ง ที่ผ่านการอนุมัติในที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยเรื่องนี้ทำควบคู่ไปกับกลไกในสภาฯ คือ กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ หรือ “กมธ.ป.ป.ช.” ที่มี “ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ. โดยการสาวลึกเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ดูเหมือนจะมีแค่ กมธ.ป.ป.ช.ที่ดูจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ทั้งการเชิญ “ผู้ว่าฯ สตง.- ฝ่ายบริหาร สตง.” เข้าชี้แจงหลายครั้ง พร้อมกับเรียกพยานหลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีการประชุมของ คตง. ที่มีการแก้ไขแบบการก่อสร้างอย่างน้อย 9 ครั้ง ซึ่งถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นำไปสู่การถล่มลงของตึกในครั้งนี้ด้วย
ทั้ง 3 เงื่อนปมข้างต้น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างสอบสวน/ไต่สวน ยังไม่มีเรื่องไหนแล้วเสร็จ โดยเบื้องต้นในส่วนของกรณี “ตึกถล่ม” นั้น ล่าสุดได้ออกหมายจับ 17 ผู้ต้องหา ทั้งนิติบุคคล และบุคคล รวมถึง “เปรมชัย กรรณสูต” ประธานกรรมการบริหาร “อิตาเลียนไทยฯ” หนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ด้วย โดยทั้งหมดถูกฝากขังระหว่างสอบสวน และถูกปฏิเสธการประกันตัว
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อ 22 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ดีเอสไอ ได้ประชุมในคดีนอมินีการก่อสร้างตึก สตง. ได้มีการพิจารณา 2-3 ประเด็น อย่างแรก คือ การสอบสวนเรื่องนอมินี เนื่องจากก่อนหน้านี้ดีเอสไอ ได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว วันนี้จึงมีการประชุมพิจารณาพยานหลักฐานเบื้องต้น จึงทำให้ที่ประชุม และมีความเห็นทางคดี โดยคดีจะไม่ได้จบที่ชั้นคณะพนักงานสอบสวนเพียงเท่านั้น แต่ต้องไปยังระดับกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ยืนยันว่า สำนวนคดีนอมินี ยังคงมีผู้ต้องหาทั้งหมด 5 ราย โดยจะประกอบไปด้วย 3 นอมินีไทย คือ นายชวนหลิง จาง นายบิน ลิง วู โดยในส่วนของ “บิน ลิง วู” ทางด้านเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้สะกดรอย และยังอยู่ระหว่างเร่งติดตามตัว อีกทั้ง เมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว กลับยังไม่พบว่าเดินทางออกนอกประเทศ จึงได้ประสาน ตม. ช่วยดำเนินการ ดังนั้น หากจับกุมตัว “บิน ลิง วู” ได้ หลังส่งสำนวนให้อัยการ ก็จะมีการแจ้งข้อหา ก่อนนำตัวสั่งฟ้องตามขั้นตอน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อีกหนึ่งตัวละครสำคัญ มีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนเครือข่ายธุรกิจ “ไชน่า เรลเวย์” ในไทย แต่ยังคงหลบหนี ไม่ถูกจับกุมตัว คือ “บิน ลิง วู” หรือ BINGLIN WU นักธุรกิจที่เข้ามาบุกเบิก “เครือข่ายไชน่า เรลเวย์” ที่เข้าไปถือหุ้น และนั่งกรรมการในเครือข่าย “ไชน่า เรลเวย์” ในไทยหลายแห่ง โดยเป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 1 แห่ง และถือหุ้น 4 แห่ง ใน 14 บริษัทเครือข่าย “ไชน่า เรลเวย์” โดยทั้งหมดถือหุ้นกับ 3 คนไทยที่ถูกกล่าวหาเป็น “นอมินี” ในคดีนี้
บิน ลิง วูมีชื่อไทยว่า “ชาญชัย รุ่งโรจน์ธนเจริญ” โดยเขาใช้ชื่อดังกล่าวในการทำธุรกิจหลายบริษัท เป็นนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่เข้ามาบุกเบิกการทำธุรกิจ และวางรากฐานให้ “ไชน่า เรลเวย์” ตั้งแต่ปี 2552 แบ่งเป็น 3 ยุค โดยข้อมูลของดีเอสไอ ระบุว่า ยุคแรก ระหว่างปี 2552-2559 กลุ่มทุนแห่งนี้มีการตั้งบริษัทอย่างน้อย 6 แห่ง รวมทุนจดทะเบียนกว่า 114.8 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท สันติภาพ อิมปอร์ต-เอ็กปอร์ต จำกัด บริษัท สันติภาพ การขนส่ง ไทย-จีน จำกัด (ปัจจุบันร้าง) บริษัท ยูไนเต็ด สตาร์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท วิล มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท สันติภาพ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท ไฮห่าน จำกัด โดยเกือบทั้งหมดในเครือข่ายตอนเริ่มต้น เกี่ยวพันกับนักธุรกิจจีนหลายคน รวมถึง 3 คนไทยคือ โสภณ มีชัย ประจวบ ศิริเขตร และมานัส ศรีอนันท์ ที่ถูกกล่าวหาเป็น “นอมินี” คดีนี้ด้วย
ยุคสอง ปี 2560 กลุ่มเครือข่ายไชน่า เรลเวย์ ได้ตั้งบริษัทเพิ่มอีก 4 แห่ง รวมทุนจดทะเบียนกว่า 39 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท บี เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (ปัจจุบันเสร็จการชำระบัญชี) บริษัท โชคนิมิต บิสซิเนส แอนด์ เซอร์วิส จำกัด บริษัท เอสทีพี อิมปอร์ต-เอ็กปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอวาน่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ยุคสาม ปี 2564-2567 กลุ่มเครือข่ายนี้จัดตั้งบริษัทเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง รวมทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เอที แคปปิตอล โซลูชั่น จำกัด (ปัจจุบัน เสร็จการชำระบัญชี) บริษัท สแตร์ ลาเบล อินเตอร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทสยาม ไบโอเมดิคอล ไซเอนซ์ จำกัด บริษัท ไซเบอร์ เทเลคอม จำกัด และบริษัท โมเยนเน่ (ประเทศไทย) จำกัด โดย “กลุ่ม 3 คนไทย” ยังได้รับความไว้วางใจให้นั่งกรรมการ และถือหุ้นเครือข่ายนี้เช่นกัน
มีรายงานข่าวแจ้งว่า “บิน ลิง วู” หรือชื่อไทย “ชาญชัย” นั้น มีบทบาทสำคัญกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรภาครัฐ และนโยบายของพรรคด้วย
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับตึก สตง. “บิน ลิง วู” หรือ “ชาญชัย” ปรากฏภาพถ่ายในงานพิธีลงนามสัญญาก่อสร้างอาคาร สตง. (แห่งใหม่) ระหว่างตัวแทนของ สตง.กับกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี ก่อนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในพิธีลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เมื่อปี 2560 ที่เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วง กทม.-หนองคาย (ระยะที่1 ช่วง กทม.- นครราชสีมา) สัญญาที่ 3-1 งานโยธาสำหรับช่วงแก่งคอย-กลางดง และช่วงปางอโศก –บันไดม้า วงเงินเฉียดหมื่นล้านบาทนั้น ปรากฏภาพถ่ายของ “บิน ลิง วู” และ “วู หลง เฉวียน” บุตรชายของเขา ร่วมกับ “หาน จื้อ เฉียง” เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และ “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” รมช.คมนาคม เมื่อครั้งรักษาราชการแทน “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้เฟซบุ๊กแฟนเพจ “รู้ทันจีน” ได้อ้างอิงข้อมูลเชิงลึกจากสื่อจีนในเรื่องนี้ ระบุว่า “บิน ลิง วู” มีภูมิลำเนาเดิมจากชาวแต้จิ๋ว (มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Suntiphab Import-Export Co., Ltd. ใน กทม. เป็นบริษัทด้านการค้านำเข้า-ส่งออก และโลจิสติกส์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ธุรกิจของเขาครอบคลุมการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และส่งออกสินค้าเกษตรจากไทย (เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ) ตลอดจนการลงทุนการผลิตในต่างประเทศ เช่น เอทานอล อาหาร เสื้อผ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้ยังบริหารเครือธุรกิจอื่นๆ ในเครือ เช่น Suntiphab Transport Co., Ltd., International InterTrading Co., Ltd. และ Mutzusi Electric Co., Ltd. ซึ่งล้วนเสริมความแข็งแกร่งให้เครือข่ายธุรกิจของเขาทั้งด้านการขนส่ง และการค้า
แม้ บิน ลิง วูจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเป็นทางการในจีน แต่เขามีบทบาทเชื่อมโยงใกล้ชิดกับองค์กรภาครัฐ และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้นำชาวจีนโพ้นทะเลที่สนับสนุนรัฐบาลปักกิ่ง เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในสภา中华全国归国华侨联合会 หรือ สหพันธ์ชาวจีนโพ้นทะเลแห่งชาติของจีน ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐที่ดูแลชาวจีนโพ้นทะเล นอกจากนี้ ข้อมูลโปรไฟล์ของบริษัทเขายังระบุว่าเขาเป็น “สมาชิกวุฒิสภาจีน” (Senator of China) ซึ่งเทียบได้กับการเป็นสมาชิกของสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติของจีน (CPPCC) สะท้อนถึงบทบาทเชิงสัญลักษณ์ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับชาติของจีน
อีกบทบาทหนึ่งที่โดดเด่นคือ ประธานบริหารสมาคมส่งเสริมการรวมชาติจีนอย่างสันติแห่งประเทศไทย (Thailand-China Council for the Promotion of Peaceful National Reunification หรือ Thailand-CCPPNR) ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายชาวจีนโพ้นทะเลที่สนับสนุนนโยบาย “จีนเดียว” และการรวมชาติไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่โดยสันติวิธี องค์กรนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของงานแนวร่วมเอกภาพของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยบิน ลิง วูทำงานร่วมกับบุคคลเชื้อสายจีนอื่นๆ ในไทยเพื่อเผยแพร่จุดยืนทางการเมืองของปักกิ่งในต่างแดนอย่างแข็งขัน
ในปี ค.ศ.2008 เขาเคยสร้างชื่อเสียงโดยได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้วิ่งคบเพลิงโอลิมปิกที่ กทม. ซึ่งเขาวิ่งถือคบเพลิงด้วยชุดสีแดง และเปล่งคำขวัญปลุกใจเช่น “ให้ชาติแม่รุ่งเรืองยั่งยืน” แสดงออกถึงความรักชาติจีนอย่างเต็มที่ สื่อทางการจีนหลายแห่ง เช่น ซินหัว และสำนักงานกิจการชาวจีนโพ้นทะเล สภาแห่งรัฐ เคยเผยแพร่บทสัมภาษณ์หรือถ้อยแถลงของเขาที่สนับสนุนจุดยืนของรัฐบาลจีน ไม่ว่าจะเป็นการประกาศความจงรักภักดีต่อมาตุภูมิหรือการสนับสนุนนโยบายพรรคคอมมิวนิสต์ในการต่อต้าน “กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” ในไต้หวัน ทิเบต และซินเจียงอย่างเปิดเผย บทบาทเหล่านี้ทำให้บิง ลิน วูเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของเครือข่ายชาวจีนในไทยที่สนับสนุนรัฐบาลปักกิ่งอย่างเหนียวแน่น
ในปี ค.ศ.2024 บิน ลิง วู ได้เข้าร่วมการประชุม “百国华侨华人联谊会” (สมัชชา 100 ประเทศของผู้นำชาวจีนโพ้นทะเล) ณ นครหลินชาง มณฑลยูนนาน มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ทางบกระหว่างจีน-เมียนมา-บังกลาเทศ เพื่อพัฒนาเส้นทางขนส่งเชื่อมจีนกับภูมิภาคเอเชียใต้-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขามองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโลจิสติกส์ในภูมิภาคอย่างมาก
ในด้านสังคม และเครือข่ายธุรกิจไทย-จีน บิน ลิง วู มีบทบาทนำในหลายองค์กรชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีความสำคัญ เขาได้รับเลือกเป็น นายกสมาคมชาว潮安แห่งประเทศไทย (泰国潮安同乡会) ซึ่งเป็นสมาคมเครือญาติ และเครือข่ายชาวจีนแต้จิ๋วสายเมืองเฉาอันในไทย  นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่ง รองประธานสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย (潮州会馆) และเป็นกรรมการใน หอการค้าไทย-จีน เป็นองค์กรหลักที่เชื่อมโยงนักธุรกิจไทย-จีนเข้าด้วยกัน  การที่ผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าไทย-จีนและเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนเข้าร่วมในพิธีรับตำแหน่งประธานสมาคมของเขาเมื่อปี 2023  แสดงถึงความเป็นที่ยอมรับ และเครือข่ายความสัมพันธ์อันกว้างขวางของบิง ลิน วูกับทั้งภาคธุรกิจไทย และทางการจีนในไทย
ทั้งหมดคือ ข้อมูลของ “บิน ลิง วู” เท่าที่สืบค้นได้ ณ ตอนนี้ ขณะเดียวกันเขาคือ “ผู้ต้องหา” รายสำคัญ ที่มีบทบาทอย่างมากในเครือข่ายกลุ่มทุน “ไชน่า เรลเวย์” ที่มาทำธุรกิจในไทย และยังหลบหนีคดีอยู่ในตอนนี้
ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก : รู้ทันจีน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







