‘ทักษิณ’ ถึง ‘ยิ่งลักษณ์’ พลิกปูมยึดทรัพย์หมื่นล. 2 นายก ‘ชินวัตร’

รู้หรือไม่? "ยิ่งลักษณ์" ถือเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 4 ของไทย ที่เคยถูก "ยึดทรัพย์" คนแรกคือ "จอมพลสฤษดิ์" คนที่สองคือ "จอมพลถนอม" ในทศวรรษ 2500-2510
KEY
POINTS
- รู้หรือไม่? "ยิ่งลักษณ์" ถือเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 4 ของไทย ที่เคยถูก "ยึดทรัพย์"
- คนแรกคือ "จอมพลสฤษดิ์" คนที่สองคือ "จอมพลถนอม" ในทศวรรษ 2500-2510
- ผ่านมาเกือบ 40 ปี นายกฯ "ชินวัตร" คนแรกที่ถูกศาลฎีกาฯยึดทรัพย์คือ "ทักษิณ ชินวัตร" กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท
- ถูกกล่าวหาคดี "ซุกหุ้นภาค 2" ในการขายหุ้นชินคอร์ปฯ
- ถัดมานายกฯชินวัตรคนที่ 2 คือ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ถูกศาลปกครองสูงสุด สั่งชดใช้ค่าเสียหายคดีจำนำข้าวกว่าหมื่นล้านบาท
- ถ้าไม่ชดใช้ภายในกำหนด จะถูกกรมบังคับคดีอายัดทรัพย์ตามคำสั่งทางปกครอง
วันที่ 22 พ.ค. 2568 ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกครั้ง พลันที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับ “จำนำข้าว” วงเงินกว่า 10,028 ล้านบาท
ในคำพิพากษาโดยสรุป ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า คำสั่งกระทรวงการคลังที่สั่งให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ความผิดทางละเมิด กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 20% จากมูลค่าความเสียหายในฤดูกาลผลิต 2555/2556 และ 2556/2557 กว่า 1.7 แสนล้านบาท มิชอบด้วยกฎหมาย แต่ “ยิ่งลักษณ์” มีพฤติการณ์ประมาทเลินเล่อ ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้นโยบายจำนำข้าว ส่งผลให้เกิดความเสียหายราว 2 หมื่นล้านบาท จึงสั่งให้ชดใช้ 50% ของยอดความเสียหาย จึงปรากฎตัวเลข 10,028 ล้านบาทออกมา
ในทางคดีถือว่าคำสั่งทางปกครองถึงที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อไปกระทรวงการคลังต้องดำเนินการแจ้ง “ยิ่งลักษณ์” ให้ชดใช้ค่าเสียหายราว 10,028 ล้านบาทแก่รัฐ หาก “ยิ่งลักษณ์” ไม่จ่ายภายในกำหนด อาจถูกฟ้องต่อศาลปกครองอีกรอบ เพื่อให้มีการบังคับคดี และยึดทรัพย์เท่าที่สืบค้นได้ต่อไป
ประเด็นที่น่าสนใจ “ยิ่งลักษณ์” ถือเป็นนายกฯคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ถูก “ยึดทรัพย์” โดยหากย้อนไปในอดีตก่อนหน้านี้ คนแรกที่ถูกยึดทรัพย์คือ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” อดีตนายกฯคนที่ 11 โดยถูกยึดทรัพย์ภายหลังเสียชีวิตเมื่อปี 2506 ต่อมาในยุค “จอมพลถนอม กิตติขจร” อดีตลูกน้องคนสนิท ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯคนใหม่ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ตามมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญ 2507 กล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติจากการใช้อำนาจ ทำให้ทรัพย์สินจำนวนมากตกเป็นของรัฐ
คนที่สองคือ “จอมพลถนอม กิตติขจร” อดีตนายกฯคนที่ 12 ถูกยึดทรัพย์พร้อมกับภรรยา ลูกชาย (พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร) และ “เพื่อนสนิท” คือ “จอมพลประภาส จารุเสถียร” อดีตรองนายกฯ ตามคำสั่งของนายกฯคนถัดมาคือ “สัญญา ธรรมศักดิ์” เมื่อ 1 ส.ค. 2517 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร 2515 (เป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว) ยึดทรัพย์สินรวมกว่า 434 ล้านบาท
หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่ามีการยึดทรัพย์นายกฯอีก กระทั่งมาถึงปลายทศวรรษที่ 2540 เกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549 ล่มรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” นายกฯคนที่ 23 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบนโยบาย ทรัพย์สิน และธุรกิจของ “ทักษิณ” รวมถึงวงศ์วานว่านเครือ “ตระกูลชินวัตร”
กระทั่ง คตส.ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กล่าวหาว่า “ทักษิณ” ร่ำรวยผิดปกติ จากการดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยใช้นโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจตัวเอง และครอบครัว รวมกว่า 76,000 ล้านบาท
โดยเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาคดีนี้ให้ยึดทรัพย์ “ทักษิณ” จำนวน 46,737 ล้านบาท จากที่ถูกฟ้องทั้งหมด 76,000 ล้านบาท โดยเห็นว่า ทรัพย์สินที่ถูกยึดทรัพย์นั้นส่วนใหญ่คือการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) ชำระค่าหุ้นมีข้อพิรุธหลายประการ เข้าข่ายอำพรางการโอนหุ้น รวมถึงการขายหุ้น “ชินคอร์ป” ธุรกิจของ “ตระกูลชินวัตร” ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “คดีซุกหุ้นภาค 2”
พฤติการณ์ของ “ทักษิณ” โดยสรุปตามการไต่สวนของ คตส.ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร 2549 กล่าวหาว่า “ทักษิณ” มีพฤติการณ์ “ซุกหุ้น” และทรัพย์สินอื่น ๆ ไว้กับ “ภริยา-น้องสาว-บุตร” และเครือญาติอื่น ๆ หลายแห่ง โดยในจำนวนนี้มีการออก “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หลายฉบับในการซื้อขายหุ้น “ชินคอร์ป” ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา
เช่น คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (สกุลขณะนั้น ปัจจุบันหย่ากับทักษิณ และใช้สกุลดามาพงศ์) ขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่ พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย ซึ่งพานทองแท้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 309.2 ล้านบาท และสัญญาจะจ่ายเงิน 424,750,000 บาทให้แก่คุณหญิงพจมาน มารดา โดยจะจ่ายเมื่อทวงถาม โดยไม่มีดอกเบี้ย
ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาว โดยยิ่งลักษณ์ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 20 ล้านบาท จะจ่ายเมื่อทวงถาม โดยไม่มีดอกเบี้ย ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่ “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” พี่ชายคุณหญิงพจมาน โดยบรรณพจน์ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 268,250,000 บาท จะจ่ายเมื่อทวงถาม โดยไม่มีดอกเบี้ย เป็นต้น
ทั้งนี้ภายหลังการซื้อขายหุ้น “ชินคอร์ป” ดังกล่าวแล้ว ได้มีการขายหุ้นที่ได้ตราไว้ (ราคาพาร์) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เป็นผลให้ผู้ถือหุ้นเดิม มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า เช่น คุณหญิงพจมาน ถือ 733,950,220 หุ้น ยิ่งลักษณ์ ถือ 20 ล้านหุ้น และบรรณพจน์ ถือ 404,430,300 หุ้น เป็นต้น
หลังจากนั้นเมื่อปี 2549 หุ้นบริษัทชินคอร์ป ที่พานทองแท้ พินทองทา ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ และบรรณพจน์ ถืออยู่ ได้ขายให้แก่ บริษัทซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด รวม 1,487,740,120 หุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
โดยรายการเฉพาะหุ้นที่รับโอนมาจากทักษิณ และคุณหญิงพจมานที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยใช้เงินของคุณหญิงพจมาน และที่รับโอนจากบริษัทแอมเพิลริชในชื่อของคุณหญิงพจมาน จำนวน 458,550,000 หุ้น พินทองทาจำนวน 604,600,000 หุ้น ยิ่งลักษณ์จำนวน 20 ล้านหุ้น และบรรณพจน์ จำนวน 336,340,150 หุ้น รวมจำนวน 1,419,490,150 หุ้น
เมื่อหักค่านายหน้าร้อยละ 0.25 และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว คงเหลือค่าหุ้นสุทธิ 69,722,880,932 บาท และหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ดังกล่าวได้รับเงินปันผลระหว่างปี 2546 ถึงปี 2548 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 6,898,722,129 บาท เป็นต้น
โดยในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ พิเคราะห์ประเด็นเหล่านี้ เช่น กรณีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (อดีตภริยาทักษิณ) อ้างว่าทำตั๋ว PN หาย และเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นคุณหญิง จึงออกตั๋วสัญญาใหม่ เป็นข้ออ้างที่กลับทำให้มีพิรุธ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินในการโอนขายหุ้นของทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ที่ผ่านมามีหลายฉบับ แต่กลับหายเฉพาะฉบับนี้ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่น่ารับฟัง ส่วนการซื้อหุ้นชินคอร์ปของ พานทองแท้ พินทองทา และยิ่งลักษณ์ ก็ใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และไม่ชำระค่าหุ้นครบตามจำนวน
ทั้งนี้คุณหญิงพจมานก็ไม่เคยเรียกเก็บเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน กระทั่งชินคอร์ปมีการจ่ายเงินปันผล จึงนำเงินมาชำระค่าหุ้น โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งอ้างว่าได้รับเงินปันผล 6 งวด 97 ล้านบาท หลังนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระค่าหุ้น แต่ไม่มีหลักฐานว่า เงินที่เหลือนำไปทำอะไร ทั้งที่เป็นเงินจำนวนมาก
นอกจากนี้ ศาลฎีกาฯ ยังเห็นว่า หุ้นชินคอร์ปในแอมเพิลริช รับฟังได้ว่า ทักษิณเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อปี 2542 โดยโอนหุ้นชินคอร์ปให้แอมเพิลริช จำนวน 32 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 10 บาท ต่อมาปี 2543 โอนหุ้นแอมเพิลริชให้พานทองแท้ แต่ปรากฎพยานหลักฐานว่า ผู้มีอำนาจเบิกจ่ายบัญชีเงินดังกล่าวคือ “ดร.ที ชินวัตร” โดยในปี 2546-2548 แอมเพิลริชได้เงินปันผลจากชินคอร์ปรวม 5 ครั้ง เป็นเงิน 1 พันล้านบาท และ ดร.ที ชินวัตร คือผู้เบิกจ่ายเพียงคนเดียว อีกทั้งการโอนหุ้นแอมเพิลริชซึ่งถือครองหุ้นชินคอร์ปถึง 32 ล้านหุ้นให้พานทองแท้ โดยคิดราคาเพียง 1 เหรียญสหรัฐอเมริกา ก็เป็นข้ออ้างที่ไม่เหตุผลให้รับฟังได้
องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่ขายให้กองทุนเทมาเส็ก 1,419 ล้านหุ้นเศษ ตามคำร้องของอัยการสูงสุด ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ศาลจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก มีคำสั่งให้เงินซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ 39,774,168,325.70 บาท และเงินปันผลที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมด 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงิน 46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน
ในขณะที่คดีของ “ยิ่งลักษณ์” คือคดีทางปกครอง กรณีรับผิดทางละเมิด มิใช่คดีทางอาญา ดังนั้นสิ่งที่ “ยิ่งลักษณ์” ต้องทำตามผลคำพิพากษาคือ “ชดใช้ค่าเสียหาย” ราว 10,028 ล้านบาท หากไม่ชดใช้ตามกำหนด อาจถูกฟ้องในศาลปกครองอีกรอบ เพื่อ “บังคับคดี” นั่นคือการ “ยึดทรัพย์สิน” เท่าที่สืบค้นได้ทั้งหมด เพื่อขายทอดตลาดนำคืนรัฐต่อไป
ทั้งหมดคือตำนาน 4 นายกฯของไทยที่เคยถูกคดี “ยึดทรัพย์” เท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ส่วนอนาคตจะมีรายใหม่หรือไม่ ต้องติดตามกัน







