จุดจบ จุดจาก‘น้ำเงิน-แดง’ - ‘ฮั้ว สว.-ยุบพรรค’รบแตกหัก

เกมปะทะศึกล้ม สว.สีน้ำเงินผ่านคดีฮั้ว ยังต้องลุ้นเกมยาว ขณะที่รอยร้าวในหมู่ค่ายแดงและค่ายน้ำเงินเริ่มระอุขึ้น อาจส่งผลถึงขั้นแตกหักกันไปข้างในตอนจบ
KEY
POINTS
- นิติสงครามเกมปะทะระหว่างค่ายสีแดง เปิดศึก สว.ค่ายน้ำเงิน ลามมาถึงยื่นร้องยุบพรรค “ภูมิใจไทย”
- คำร้องยุบพรรคภูมิใจไทย ต่างจากคดียุบพรรคก้าวไกลในอดีต เพราะต้องใช้กระบวนการสอบสวน ที่อาจต้องลุ้นเกมยาว
- สว.สีน้ำเงิน ใช้นิติสงครามเข้าสู้เพื่อสกัดคดีฮั้ว สว. ด้วยการเดินเกมยื่นองค์กรอิสระให้ชะลอกระบวนการไต่สวนในชั้น กกต.
- แต้มต่อ สว.สีน้ำเงิน ถือดุลอำนาจในการเห็นชอบองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลต่อการชี้ขาดคดีฮั้ว สว.ในอนาคต
ศึกนิติสงครามเกมปะทะระหว่างฝ่ายบริหารค่ายสีแดง เปิดศึกกับ สว.ค่ายน้ำเงิน ลามมาถึงพรรคการเมืองขั้วสีน้ำเงินอย่าง “ภูมิใจไทย” เป็นสภาพการเปิดฉากรบผ่านสงครามตัวแทน
ค่ายแดงฝ่ายพรรคเพื่อไทยเปิดฉากลุยล้มกระบวนการเลือก สว.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผ่านฝ่ายบริหารโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมทั้งต้องพึ่งแรงขยับของกรรมการองค์กรอิสระอย่าง “กกต.”
เกมปะทะสองค่าย ยังเป็นเพียงกระบวนการชั้นต้น ขึ้นอยู่ที่จังหวะและเวลา ทว่าการประโคมข่าวหน้าสื่อและการทำสงครามผ่านตัวแทนถูกฉายภาพให้เห็นว่า “พรรคภูมิใจไทย”อาจถึงขั้นยุบพรรค
เกมยุบพรรคคือปลายทาง แต่ทุกอย่างยังต้องรอการพิสูจน์ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อนในชั้น กกต.และดีเอสไอ ที่ขณะนี้อยู่ในห้วงออกหมายเรียก สว. ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพอสมควร ก่อนเรื่องจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ
ผลของคดีในชั้น กกต.อาจมีได้ทั้งยื่นศาลรัฐธรรนูญ หรือตีตกคำร้อง ของผู้ร้องก็เป็นไปได้ทุกทาง
ล่าสุด หัวขบวนรบนอกสภา “ณฐพร โตประยูร”อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ใช้เกมฮั้ว สว.ยื่นร้องต่อ กกต.เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2568 เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคภูมิใจไทย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (1) มีการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครอง หรือได้มาซึ่งอำนาจการปกครองไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย หรือไม่
“ณฐพร”เพิ่งยื่นร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กรณีบุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้
ตามติดๆ มาด้วยคำร้องของ “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท” ผู้สมัคร สว.จากมหาสารคาม ได้ยื่น กกต.เมื่อ 20 พ.ค.ขอให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคภูมิใจไทย เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฮั้วเลือกสว. โดยอ้างหลักฐานว่ามีผู้บริหารพรรคเกี่ยวข้องกับกระบวนการมีการจัดตั้งคนใน จ.บุรีรัมย์ และพบหลักฐานเส้นทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม มีการเปรียบเทียบข้อหาที่พรรคภูมิใจไทยถูกกล่าวหา กับคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเคยถูกร้องในช่องทางตามรัฐธรรมนูญในการร้องศาลรัฐธรรมนูญ โดย “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ในข้อกล่าวหา เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทว่าความแตกต่างของเนื้อหาคดีฮั้ว สว. กับการที่พรรคก้าวไกล แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นมีความแตกต่างทั้งในเนื้อหาและกระบวนการข้อเท็จจริง
คอการเมืองจึงวิเคราะห์ว่า คำร้องยุบพรรคภูมิใจไทย ไม่ง่ายเท่ากับการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคก้าวไกลในอดีต เพราะต้องใช้กระบวนการสอบสวน กว่าจะชี้ขาดได้ คงต้องลุ้นเกมยาว
แค่เริ่มต้นสอบสวน บรรดา สว.สายน้ำเงิน ก็เดินเกมใช้กลไกนิติสงครามเพื่อเข้าสกัด ตัดเบรกการสอบสวนทั้งการยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้สอย “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม
รวมทั้งล่าสุด พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร พร้อมด้วยคณะ สว.สีน้ำเงิน ยื่นหนังสือถึงขอความเป็นธรรมต่อประธาน กกต. ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง คณะที่ 26 สำนักงาน กกต.
22 สว.สีน้ำเงินยังเดินเกมสกัดคดีฮั้วอีกระลอก โดยยื่นร้องต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช.ให้มีคําสั่งให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดํา อธิบดีดีเอสไอ หยุดปฏิบัติหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีเกี่ยวกับการเลือก สว. และยื่นเรื่องกล่าวหาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินคดีกับคณะกรรมการสืบสวนฯ คณะที่ 26 และมีคําสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวด้วย
ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย เดินเกมด้วยการเตรียมใช้ข้อกฎหมายฟ้องเอาผิด “ณฐพร” และ “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท ” ที่ยื่นร้องขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทย
ด้าน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ วิเคราะห์เกมรอวันแตกหักของค่ายสีแดงและน้ำเงินว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นการเผชิญหน้า กระบวนการสอบคดีฮั้ว สว.ยังต้องใช้เวลา
"ฝ่ายน้ำเงินเกี่ยวกับ สว.ต้องสกัดกั้นกระบวนการสอบสวนให้ชะลอออกไปก่อน เพราะคดีนี้การจะร้องศาลรัฐธรรมนูญ จะจบได้ ต้องได้ข้อยุติที่กระบวนการสอบสวนของ กกต. ดีเอสไอ และป.ป.ช.ด้วย กระบวนการนี้ต้องใช้เวลา”
ฉากรบนิติสงครามโดยขุนพลทัพหน้าก๊กสีน้ำเงิน จึงเล่นบทใช้กระบวนการองค์กรอิสระในการชะลอ-ยื้อเกมสอบคดีฮั้ว
ยังไม่นับแต้มต่อที่ สว.ค่ายน้ำเงินจะต้องใช้อำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญในการประชุมวุฒิสภา 30 พ.ค. 2568
โดยมีวาระเห็นชอบบุคคลได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป.ป.ช. 3 คน รวมทั้งตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. 1 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 2 คน
ทั้งหมดเป็นการเดิมพันเกมรบของค่ายน้ำเงินที่จะต้องส่งคนเข้าไปควบคุมองค์กรอิสระให้ได้ เพราะการเลือกองค์กรอิสระะมีผลต่อคดีฮั้ว สว.ในอนาคต
“ถ้าฝ่ายน้ำเงินมีพัฒนาการ ได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ป.ป.ช.แบบเบ็ดเสร็จ ปลายทางของคดีฮั้ว สว.มีโอกาสสูงที่จะถูกองค์กรอิสระตีตกได้ เพราะหากพยานหลักฐานไม่ประจักษ์ พิสูจน์ทราบถึงเส้นทางการเงินได้ ไม่มีพยานบุคคลซัดทอด ถ้าไม่ชัด ก็ยาก” พล.ท.ภราดร อ่านรูปเกมคดียุบพรรคภูมิใจไทย ไม่ง่ายเหมือนคดียุบพรรคก้าวไกล
เกม สว.สีน้ำเงิน ยังชงเรื่องไปยังองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเบรกการจัดการฝ่ายบริหาร คือ ดีเอสไอ เมื่อถูกสกัดการสอบสวน เกมล้ม สว.สีน้ำเงินจึงไม่ง่าย
กระดานต่อไป ถ้ากรรมการองค์กรอิสระ มีการเห็นชอบในชั้นวุฒิสภา ท้ายที่สุด หากได้ตัวแทนฝ่ายสีน้ำเงินเข้าไปกุมอำนาจชี้ขาดกระบวนการไต่สวนคดีฮั้ว สว. ก็เป็นเรื่องยาก ที่จะถึงขั้นยุบพรรคภูมิใจไทย
เกมรบผ่านร่างทรง สว.สีน้ำเงิน ด้วยการสกัดชะลอเกมสอบฮั้ว สว. ยังเกิดภาพปะทะประลองกำลังกันในหมู่ สว.สายอิสระ ที่กำลังเดินเกมงัดข้อ สว.กลุ่มใหญ่ ด้วยการเข้าชื่อยื่นร้องต่อประธานวุฒิสภา
เสียงของ สว.พันธุ์ใหม่ มีเพียง 10 เสียง ทำให้มีอุปสรรคในการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกระบวนการได้มาซึ่ง สว.ที่ถูกตรวจสอบอยู่เวลานี้ เพราะต้องอาศัยเสียง สว.20 คนเข้าชื่อ
กระบวนท่าทั้งหมดจึงเป็นสัญญาณเกมรบ ที่รอวันแตกหัก เป็นการเผชิญหน้าของก๊กสีน้ำเงิน เมื่อจำเป็นต้องรบ ก็ต้องเดินเกมสู้ เพื่อให้ได้เปรียบในอำนาจ
ขณะเดียวกัน เกมล้ม สว.น้ำเงิน ยังถูกโยงไปถึง เกมสกัดขัดขวางมิให้ “พรรคภูมิใจไทย” ชิงธงนำ เบอร์หนึ่งในขั้วก๊กอนุรักษนิยมไปครองได้ ซึ่งจะเห็นได้จากสภาพการเมืองปัจจุบัน ที่ขั้วอนุรักษนิยมไร้เสถียรภาพ
เป็นสถานการณ์ นับถอยหลังรอวันแตกหักพรรคร่วมรัฐบาล“น้ำเงิน-แดง” ที่ใกล้ถึงจุดจบ แบบจากกันไม่ดี







