โปรดฟังอีกครั้ง! 'ปานปรีย์' เล่าฉากรัฐประหาร 'น้าชาติ-ทักษิณ'

ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกฯ ให้สัมภาษณ์เล่านาทีใกล้ชิดเหตุการณ์ 2 นายกฯ ถูกรัฐประหาร เมื่อปี 2534 และปี 2549 โดยเชื่อว่าวงจรอุบาทว์จะเกิดขึ้นได้อยู่ที่เงื่อนไข
KEY
POINTS
- ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร เล่าฉากนาทีรัฐประหารโค่น 2 นายกรัฐมนตรี ปี 2534 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ปี 2549 ทักษิณ ชินวัตร
- "ปานปรีย์" ถูกจับขังนอนห้องเดียวกับ พล.อ.ชาติชาย 15 วัน หลังรัฐประหาร ขณะที่ ปี 2549 มีตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย อยู่ร่วมเหตุการณ์ฉากรัฐประหาร "ทักษิณ" จนถึงนาทีเปิดใจอำลาตำแหน่งนายกฯ
- "ขามาผมเป็นนายกรัฐมนตรี ขากลับผมเป็นคนธรรมดา" ทักษิณ กล่าวคำอำลากับคณะบนเครื่องบินเมื่อถึงอังกฤษ
- "ปฏิวัติ - รัฐประหารอยู่ที่เงื่อนไขด้วย ถ้าเงื่อนไขมันเข้า ทุกอย่างก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอด" ปานปรีย์ ยังคงเชื่อว่าวงจรอุบาทว์ยังไม่หมดไปจากการเมืองไทย
"ด้วยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศไว้แล้ว ตั้งแต่เวลา 11.30 น. ของวันที่ 23 ก.พ.2534 และสถานการณ์ทั้งหลาย ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ รสช. แล้ว ขอให้ประชาชน อย่าได้หวาดวิตก" คำแถลงของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้น และหัวหน้า รสช.ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ 34 ปีก่อน
คนที่อยู่ใกล้ชิด พล.อ.ชาติชาย นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ในขณะนั้นคือ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นเขามีตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในห้วงรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต่อเนื่องมาถึงยุคนายกฯ ชาติชาย
"ปานปรีย์" เปรียบเสมือนเลขานุการส่วนตัวให้กับ พล.อ.ชาติชาย เล่านาทีในช่วงเช้าของวันที่ 23 ก.พ.2534 ขณะที่ พล.อ.ชาติชาย กำลังนำ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ โดยขณะที่เครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศ ไทย C-130 กำลังจะขึ้นเครื่องเพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่วินาทีนั้นเครื่องก็ถูกไฮแจ็ค
"ยกมือขึ้น ทุกคนยกมือขึ้น ไม่ยก จะยิง" ชายไม่คุ้นหน้า ใส่เสื้อซาฟารี ตะโกนใส่สื่อมวลชน และข้าราชการบนเครื่องบิน
"ปานปรีย์" เปิดบ้านพักส่วนตัวภายในซอยราชครู เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันนั้นที่เขาต้องขึ้นเครื่องไปกับนายกรัฐมนตรีว่า "ถึงเวลาเครื่องบินจะขึ้น ก็เร่งเครื่องไป เร่งเครื่องไป เสร็จแล้วก็เบรก เบรก ปั๊บ... ทหารที่อยู่ในเครื่อง เขาก็ลุกเอาปืนมาจี้ มาจี้คนอยู่ข้างหน้าผมพอดีเลย"
"ผม กับบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็ยกมือขึ้น"
อดีตเลขานุการส่วนตัว พล.อ.ชาติชาย เล่าภาพนาทีที่เครื่องบิน C-130 ถูกจี้ ว่า "เขา (ทหาร)บอกว่า เขายึดแล้ว (รัฐประหาร) เราก็มองไป เห็นท่านชาติชาย ตอนแรก อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ท่านก็วางหนังสือพิมพ์ พอตอนเบรก ท่านเอาหนังสือพิมพ์ลง แล้วท่านก็กลับมาอ่านใหม่ ท่านก็เหมือนไม่สนใจอะไรแล้ว"
ชนวนเหตุสำคัญทำให้ผู้นำเหล่าทัพนำโดย พล.อ.สุนทร พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แกนนำ จปร.รุ่น 5 ต้องเข้ายึดอำนาจด้วยการรัฐประหาร พล.อ.ชาติชาย เพราะเกิดความไม่พอใจรัฐบาลที่มีความพยายามตั้ง พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เป็น รมช.กลาโหม จนเกิดรอยร้าวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล และกองทัพที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะปลดผู้นำเหล่าทัพ
วินาทีที่ทหารจี้ผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศนั้น พล.อ.ชาติชาย ไม่ได้มีท่าทีที่สนใจเท่าใดนัก
"ท่านก็เหมือนไม่สนใจอะไรแล้ว เหมือนรู้แล้ว สติท่านจะดีมาก ข้างหน้าเนี่ย มันจะมีนายทหารออกมาจี้ท่านด้วยไง"
สัญญาณรัฐประหาร พล.อ.ชาติชาย
"ปานปรีย์" เล่าถึงชนวนเหตุการยึดอำนาจครั้งนั้น ไม่ใช่เพราะผลพวงของเศรษฐกิจ ในยุค พล.อ.ชาติชาย เป็นยุคเศรษฐกิจเติบโตสูงมากหรือเรียกว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยแต่ก็ยังถูกปฏิวัติรัฐประหาร
ก่อนหน้าวันที่ 23 ก.พ.2534 นั้น พล.อ.ชาติชาย ก็เริ่มได้เค้าลางหรือกลิ่นของการรัฐประหารอยู่บ้างแล้ว จึงได้เชิญผู้นำเหล่าทัพมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันในทุกวันพุธ ก่อนคืนหนึ่งก็มีการเลี้ยงฉลองที่บ้านด้วย"
"ก็จะมีการพูดกันว่า จะมีการโยกย้ายผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งเวลานั้น ก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนสถานการณ์คล้ายๆ อย่างนั้น ท่านไม่เชื่อว่าจะทำ"
เช้าวันที่ 23 ก.พ.2534 พล.อ.ชาติชาย มีภารกิจสำคัญจะต้องนำ พล.อ.อาทิตย์ ไปถวายสัตย์ฯ โดย "ปานปรีย์" ได้เข้าไปพบ พล.อ.ชาติชาย ภายในบ้านพักส่วนตัวที่ซอยราชครู เมื่อ พล.อ.ชาติชาย ใส่สูทเดินลงบันไดจากชั้น 2 พล.อ.ชาติชาย ถามเขาทันทีว่า "จะไปไหน"
"ผมจะตามท่านไป" ดร.ปานปรีย์ ตอบกลับ
"ไม่ต้องไป" พล.อ.ชาติชาย หันไปสั่ง "ปานปรีย์" เสมือนมีสัญญาณรับรู้ว่าการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้ายจะสิ้นสุดลงในช่วงเช้าวันดังกล่าว
"ผมก็แปลกใจว่า ทำไมอยู่ดี ๆ บอกไม่ต้องไป ไม่เคยพูดอย่างนี้ บอกไม่ต้องไปหรอก แสดงว่าท่านอาจจะพอได้เค้าแล้วว่า อาจจะมีการปฏิวัติ แต่ผมว่าลึกๆ แล้วท่านก็ยังไม่เชื่อ" ปานปรีย์ ฉายภาพนาทีก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน C-130
"ปานปรีย์" บอกถึงเหตุจำเป็นต้องติดตาม พล.อ.ชาติชาย ไปร่วมเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ เพราะเป็นคำสั่งตามเอกสารราชการที่สั่งมา อีกทั้งเขาเป็นเวรด้วย เมื่อไปถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) มีเพียง พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผบ.ทอ. เท่านั้นที่มารอส่ง พล.อ.ชาติชาย
"พล.อ.อาทิตย์ ยืนคุยกับ บิ๊กเต้ (พล.อ.อ.เกษตร) อยู่พักหนึ่ง แบบเหมือน ฮึดฮัด ไม่พอใจว่าทำไมตอนแรกตกลงกันว่าจะเอาเครื่องบินเลียร์เจ็ตไป แล้วอยู่ดีๆ มาเปลี่ยนเป็น C-130 เราก็เห็นหน้าท่านแล้ว แต่ท่านชาติชายไม่รู้แล้ว เดินขึ้นเครื่องไปแล้ว ท่าน พล.อ.อาทิตย์ ตามทีหลัง พวกผมก็เดินขึ้นท้ายเครื่อง อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็ไปด้วย เพราะตอนนั้นอาจารย์บวรศักดิ์ ก็เป็นที่ปรึกษาคณะบ้านพิษณุโลก"
การขึ้นเครื่องครั้งนั้นทำให้เข้าแผนของผู้นำเหล่าทัพ เพื่อกระทำการยึดอำนาจการปกครอง และรัฐประหาร พล.อ.ชาติชาย เป็นผลสำเร็จ
ทหารจับ "น้าชาติ-ปานปรีย์' ขัง 15 วัน
"ปานปรีย์" ถูกจับไปพร้อมกับคณะที่ติดตาม และถูกทหารนำตัวไปควบคุมไว้ที่กองทัพอากาศ พอช่วงบ่ายก็ปล่อยคณะ และสื่อมวลชนที่ติดตามทั้งหมด ยกเว้น "ปานปรีย์" ซึ่ง ทหาร บอกให้เขาขึ้นรถเพื่อไปพบ พล.อ.ชาติชาย ที่บ้านรับรอง
"น้อง...พี่ให้น้องมาดูแลท่าน อ้าว...ท่านชาติชาย เห็นผม บอกเขาไม่เกี่ยว เขาเป็นข้าราชการ เขาไม่เกี่ยวอะไรกับการเมืองเลย แล้วไม่ได้มีตำแหน่งอะไรทางการเมือง เขาเป็นข้าราชการ ให้เขากลับไป พวกนายทหารเขาก็บอกว่าที่จับท่านมาให้มาดูแลท่าน"
ตลอด 15 วัน ที่ รสช.ควบคุมตัว พล.อ.ชาติชาย ทำให้ ดร.ปานปรีย์ ต้องถูกควบคุมและนอนห้องเดียวกับ พล.อ.ชาติชาย
"ตอนนั้นเป็นหลานเขยแล้ว อยู่กับท่าน 15 วันเลย ท่านก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ การถูกปฏิวัติ เป็นวงจรอุบาทว์จะกลับมาใหม่ ท่านก็เล่า กลับมาเป๊ะๆ ตามนั้นหมด ท่านก็เล่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะตั้งนายกรัฐมนตรี เดี๋ยวเขาจะตั้งวุฒิสมาชิก เป็นคนของเขา"
"อยู่กับท่านสองคน ท่านจะเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ แทนที่เราจะเป็นห่วงท่าน ท่านกลับเป็นห่วงเรามากกว่า คือ ท่านก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร กับการที่ถูกจับตัวมา ท่านก็เป็นห่วงเราว่าเราไม่เคยโดนไง กลัวเราขวัญเสีย กลัวอะไรต่ออะไร"
หลังพ้นการควบคุมตัว 15 วัน พล.อ.ชาติชาย ได้รับการปล่อยตัว และต้องเดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่ ดร.ปานปรีย์ ตัดสินใจลาออกราชการเพื่อไปรับใช้ พล.อ.ชาติชาย ในต่างประเทศ ทำหน้าที่เหมือนเลขานุการส่วนตัว จึงทำให้เขามีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ชาติชาย
เหตุการณ์ รสช.ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย กลับจบลงด้วยเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535
หลังมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ปี 2535 จนเกิดวลี "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตอบรับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 19 นำไปสู่เหตุการณ์ทหารล้อมปราบประชาชนผู้ชุมนุมในเดือนพ.ค.2535 หรือ "พฤษภาทมิฬ"
เล่าฉาก "ทักษิณ" อำลานายกฯ
15 ปีต่อมา 19 ก.ย.2549 ปานปรีย์ มีตำแหน่งเป็นผู้แทนการค้าไทย ต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นถูกรัฐประหารขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามใช้อำนาจนายกฯ เพื่อต่อสู้กับคณะผู้นำเหล่าทัพ แต่ผลสุดท้ายกลับจบลงด้วยวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยอีกครั้ง
เมื่อผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งด้วย 19 ล้านเสียงอย่าง "ทักษิณ" พ่ายแพ้ต่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ซ้ำรอยกับที่ พล.อ.ชาติชาย เคยถูกยึดอำนาจเมื่อ15 ปีก่อน
"ถ้าเขาจะฆ่าเรา เขาฆ่าไปนานแล้ว" ดร.ปานปรีย์ หัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 2 ครั้งที่เขาเผชิญอยู่ร่วมเหตุการณ์
วินาทีอำลาตำแหน่งนายกฯ เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ หลัง "ทักษิณ" ลุกก้าวเดินเพื่อลงจากเครื่องบินเมื่อเดินทางถึงประเทศอังกฤษ
"ท่าน (ทักษิณ) บอกว่า ขามาผมเป็นนายกรัฐมนตรี ขากลับผมเป็นคนธรรมดา ท่านพูดอย่างนี้นะ พอท่านจะลงจากเครื่องบิน ท่านยืน ใช่ไหม พวกเราก็สวัสดีท่านกลับลาท่าน พวกแอร์การบินไทยก็มา กัปตันก็มาลาท่านก็เดินลง ก่อนที่ท่านจะเดินลงออกจากประตูเครื่องบิน"
ยึดอำนาจอยู่ที่เงื่อนไข
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เผชิญเหตุการณ์รัฐประหารมา 2 ครั้งในชีวิตคิดว่ารัฐประหารจะหมดไปจากการเมืองไทยหรือไม่ ดร.ปานปรีย์ บอกว่า "ก็ไม่มีใครประสงค์ที่จะให้เกิดการรัฐประหารนะครับ บ้านเมืองเรามาถึงขนาดนี้แล้ว อยากเห็นประชาธิปไตย ก็เป็นที่ยอมรับของชาวโลกเขา แต่ที่ผ่านมา ที่ทุกคนบอกว่า จะไม่มีการปฏิวัติแล้ว ก็มีการปฏิวัติทุกที ปฏิวัติ รัฐประหาร ถามว่า มันอยู่ที่เงื่อนไขด้วย ถ้าเงื่อนไขมันเข้า ทุกอย่างก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดครับ"
"ถ้าประชาชนเขารู้สึกว่าพอใจ เขามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แล้วก็ระบบความยุติธรรมภายในประเทศ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไป สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเราปล่อยให้ ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ เราปล่อยให้คนที่ไม่ดีมาครองเมืองอ่ะ มันก็อยู่ไม่ได้นะ"
ดร.ปานปรีย์ เล่าฉากชีวิตบันทึกนาทีเหตุการณ์ 2 นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญการรัฐประหาร ในวันนี้แม้การเมืองไทยจะผ่านการรัฐประหารครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 จนมีการเลือกตั้งทั่วไปถึง 2 ครั้งแล้ว
แต่อดีตรองนายกฯ ก็คงไม่อยากได้ยินเสียง "โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง!" ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ซ้ำรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







