ฉากสุดท้ายคดีข้าว ‘ยิ่งลักษณ์’ ลุ้นบ่วงชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน

พลิกมหากาพย์เรียกความเสียหายชดใช้ “คดีจำนำข้าว” กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท “ยิ่งลักษณ์” หวังคำพิพากษาออกมาหน้าเดียวกับศาลชั้นต้น รอดพ้นบ่วงชดใช้เงิน
KEY
POINTS
- พลิกมหากาพย์เรียกความเสียหายชดใช้ “คดีจำนำข้าว” กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
- “ยิ่งลักษณ์” หวังคำพิพากษาออกมาหน้าเดียวกับศาลชั้นต้น รอดพ้นบ่วงชดใช้เงิน
- แต่ยังเหลือชนักปัก 1 คดีอาญา โทษจำคุก 5 ปีคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหาย
- หากจะกลับไทย คงต้องหวังพึ่งอภินิหารทางกฎหมาย ถ้าจะตามรอย “พี่ชาย” คงยาก?
นับถอยหลังอีก 1 วัน ในวันที่ 22 พ.ค.2568 นี้ ศาลปกครองสูงสุด นัดชี้ชะตา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่เธอยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 9 คน (สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี) ต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทที่เกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กรณีให้ชดใช้ค่าเสียหายใน “โครงการจำนำข้าว” มูลค่ารวมกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (ยิ่งลักษณ์) ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ปลัดกระทรวงการคลัง) มีคำสั่งที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาเพิกถอนคำสั่ง กระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (ยิ่งลักษณ์) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงที่ 9 (กรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ 8 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ที่ 9) ในการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ตามหนังสือลับ ด่วนที่สุดที่ กค 0206/ล 2174 ลงวันที่ 30 ส.ค. 2562 ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของผู้ฟ้องคดีที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โดยศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เห็นว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯที่จะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิด และจำนวนค่าสินไหมทดแทน ที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่อื่นที่มีส่วนต้องรับผิด ในมูลละเมิดเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดตามสัดส่วนเฉพาะในส่วนของตน แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิด มากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้เดียวเป็นผู้กระทำ โดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ
อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ ในมหากาพย์ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวยุค “รัฐบาลนารีขี่ม้าขาว” นั้น มี 2 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่
1.คดีที่เกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าว ซึ่ง “ยิ่งลักษณ์” ถูกดำเนินคดีใน 2 ส่วนคือ “คดีอาญา” ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกเธอ 5 ปี ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว อันเป็นเหตุให้เธอต้อง “หลบหนีคดี” ออกจากไทย
ส่วน “คดีทางปกครอง”หรือ“ทางแพ่ง”นั้น ถูกกระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชดใช้ความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกับออกคำสั่งอายัดทรัพย์ ซึ่งมีการอายัดทรัพย์สินไปแล้วบางส่วนก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดีในส่วนของฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 พ.ค. 2568
2.คดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายจำนำข้าว โดยมี “นักเลือกตั้ง” ถูกกล่าวหา 2 คนคือ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ และ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ ในส่วน “คดีอาญา” ทั้งคู่ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกไปแล้ว 42 ปี และ 36 ปีตามลำดับ ต่อมาทั้งคู่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเรื่อยมา กระทั่งได้รับการพักโทษเมื่อปี 2567-2568 ที่ผ่านมา
ส่วน “คดีทางแพ่ง” ทั้งคู่ถูกฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ชดใช้ความเสียหายในโครงการนี้เช่นกัน รวมวงเงินราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลปกครองกลาง (ชั้นต้น) พิพากษาให้ “บุญทรง-ภูมิ” ร่วมกับ “อดีตบิ๊กข้าราชการ” ชดใช้ความเสียหายไปแล้ว โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายในแต่ละสัญญา เมื่อปี 2564 แต่ปัจจุบันมีการยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด
ดังนั้น ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ คือการชี้ชะตาว่า “ยิ่งลักษณ์” จะต้องชดใช้ค่าความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวราว 3.5 หมื่นล้านบาทตามคำสั่งของกระทรวงการคลังหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าถึงที่สุดหากคำพิพากษา “เป็นคุณ” กับเธอ แต่ก็ไม่อาจลบล้างโทษทางอาญา ที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาไปก่อนหน้านี้ได้ กล่าวคือโทษจำคุก 5 ปียังคงติดตัวเธออยู่ตลอด และตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช. และศาลฎีกาฯ โทษทางอาญานี้ไม่มีอายุความ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องเผชิญสารพัดคดีถูกกล่าวหาในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มาแล้วหลายสิบคดีด้วยกัน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท การจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2549-2553 เป็นต้น แต่ทุกคดีถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยกคำร้องไปหมดแล้ว เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ส่วนคดีที่ถูกฟ้องขึ้นศาลฎีกาฯ มีอย่างน้อย 2 คดีคือ
1.คดีกล่าวหาว่าปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต มุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรม กรณีการจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2022 วงเงิน 240 ล้านบาท
2.คดีโยกย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(เลขาฯสมช.)โดยมิชอบ
โดยทั้ง 2 คดีศาลฎีกาฯพิพากษา “ยกฟ้อง” ไปแล้วทั้งหมด และสั่งให้เพิกถอนหมายจับเฉพาะ 2 คดีนี้ (ไม่เกี่ยวกับคดีจำนำข้าว)
คงเหลือแค่คดีจำนำข้าวเพียงคดีเดียวเท่านั้น ที่เป็น “ชนักปักหลัง” เธออยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี แม้ศาลปกครองกลางจะพิพากษาให้เธอชนะคดีไปแล้วก็ตาม เนื่องจากศาลระบุว่า คำสั่งให้ชดใช้เงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกระทรวงการคลังยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจน ว่าเธอเป็นผู้ก่อความเสียหายโดยตรงก็ตาม แต่ผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด อาจออกมาได้ ทั้งยืนตามคำตัดสินเดิม หรือแก้ไขคำตัดสินใหม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และดุลยพินิจของศาล
ในช่วงเวลาเดียวกับชั่วโมงนี้ ที่สถานการณ์การเมืองกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ทั้ง “นิติสงคราม” ระหว่าง “ก๊กแดง-ก๊กน้ำเงิน” พ่วงไปกับใกล้กำหนดนัดที่ศาลฎีกา นัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ผลของคดีสามารถออกมาหน้าไหนก็ได้ทั้งนั้น
ส่วนจะหวังผลเพื่อกลับเข้าไทยได้หรือไม่นั้น เธอคงต้อง “ฝ่าด่าน” อภินิหารทางกฎหมาย หากหวังจะเข้ามาแบบ “สวย ๆ” ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวตามรอย “พี่ชาย” น่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างที่บอกว่า “สทร.” กำลังยักแย่ยักยัน ถูกศาลฎีกานัดไต่สวนอยู่เช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือ หากสุดท้ายศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง “นารีขี่ม้าขาว” แล้วความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว จำนวนหลายแสนล้านบาท ตามการวิเคราะห์-ประเมินกัน ของกูรูด้านการเงินการคลัง และหน่วยงานของรัฐก่อนหน้านี้ ใครจะต้องเป็นผู้ชดใช้ หรือรับผิดชอบ
หรือสุดท้ายจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย ให้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาทซึ่งมาจากภาษีประชาชนสูญไปอย่างที่เคยทำกันมา?







