'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ ทางเลือกทางรอดรัฐบาล จับตาครึ่งทางรัฐบาลเพื่อไทย “ทักษิณ - เนวิน” ดีลใหม่ - ดีลล่ม

KEY

POINTS

  • กลเกมการเมืองระหว่าง ขั้วแดง - ขั้วน้ำเงิน ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เสถียรภาพของ "พรรคร่วมรัฐบาล" อ่อนแอลง
  • ทั้ง "ทักษิณ ชินวัตร" และ "เนวิน ชิดชอบ" ต่างเดินมาอยู่ในจุดที่ยากจะพูดคุยเจรจากัน โอกาสแตกหักมีสูงลิบ
  • ทว่าทางเลือกของ "สองผู้ยิ่งใหญ่" มีเพียง 3 ทางเท่านั้น ประกอบด้วย การปรับคณะรัฐมนตรี - "แพทองธาร" ลาออกจากนายกฯ - ยุบสภา

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

ประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่จุด “วิกฤติ” ซ้อน “วิกฤติ” ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกระดับของ “ชนชั้น” 

หนึ่ง วิกฤติเศรษฐกิจ เกิดภาวะซบเซาทั่วโลก เกือบทุกประเทศเจอมรสุมทั้งภายใน และภายนอก อีกทั้งถูกซ้ำเติมจากมาตรการทางภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำให้ทุกประเทศต้องหาทางเปิดโต๊ะเจรจา เพื่อเอาตัวรอดจากมาตรการดังกล่าว 

ต้องจับตาว่า “ทีมไทยแลนด์” นำโดย “พิชัย ชุณหวชิร” รมว.คลัง จะยื่นเงื่อนไขที่สหรัฐ พอใจ แต่ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบได้มากน้อยเพียงใด 

สอง วิกฤติการเมือง แม้จะไม่มี “ม็อบ” ลงมาชุมนุมบนถนนเหมือนเก่า แต่ความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่การใช้ “นิติสงคราม” เข้าห้ำหั่นกัน  

เครื่องมือทางกฎหมาย ถูกหยิบมาฟาดฟันคู่แข่ง-คู่แค้น เมื่อ “ซูเปอร์บิ๊กเนม - บิ๊กเนม” เปิดศึกรบกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกลาญ 

ต้องยอมรับว่า การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำหลังม่าน ตัดสินใจยก “เพื่อไทย” ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของ “ตระกูลชินวัตร” มาจับมือกับพรรคการเมืองฝั่งอนุรักษนิยม แลกกับตั๋วพิเศษเดินทางกลับไทยแบบเท่ๆ ทำให้ “เครือข่ายอนุรักษ์” ไม่พอใจ แต่ต้องยอมกลืนเลือด เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ “เครื่องจักรสีส้ม” เข้าสู่อำนาจการเมือง 

ทว่า การใช้บริการ“ศัตรูเก่า”อย่างจำยอม บรรดา“เครือข่ายอนุรักษ์” ทั้งหัวขบวน ท้ายขบวน ก็ยังไม่ไว้วางใจ “ทักษิณ - ตระกูลชินวัตร” เสียทีเดียว 

เห็นได้จาก การเตะตัดขาไม่ให้ “เพื่อไทย” คิดใหญ่ ทำได้ ในเรื่องส่วนตัว ส่วนครอบครัว กระทั่งความสุ่มเสี่ยงในการขับเคลื่อนนโยบายพรรคได้อย่างเต็มที่ 

ย้อนไปในช่วงตั้งต้น การดำเนินนโยบายแจกหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต เครือข่ายอนุรักษ์งัดทุกสรรพกำลังออกมาต่อต้าน จน “รัฐบาลเพื่อไทย” ต้องถอยร่น กระทั่ง “แจกหมื่นไม่ตรงปก” เพราะเกรงว่าจะสร้างเงื่อนไขจนเข้าทาง “ตาอยู่” ที่รอจังหวะชิงอำนาจ 

เช่นเดียวกับนโยบาย “เรือธง” ที่มุ่งหวังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมทะเลอันดามัน - ทะเลอ่าวไทย เป็นต้น 

ผนวกกับคดีส่วนตัวของ “ทักษิณ” ทั้งคำสั่งศาล ที่ไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ จากคดี ม.112 และคดีรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจระหว่างรับโทษจำคุก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.68 

ยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่า “ตั๋วพิเศษ” หมดอายุแล้วหรือไม่ เช่นเดียวกับ นายกฯ หน้าฉาก “แพทองธาร ชินวัตร” มีคดีตัวอยู่ใน ป.ป.ช. ประกอบด้วย 

1. คำร้อง สอบปมตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋ว PN 4.4 พันล้านบาท ส่อเข้าข่ายเลี่ยงภาษี 218.7 ล้านบาท 

2. คำร้อง สอบโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ อยู่ในเขตพื้นที่นิคมสร้างตนเอง-ต้นน้ำลำธาร ห้ามออกโฉนด ทำธุรกิจหรือไม่     

3. คำร้อง เรียกสอบการเอื้อทักษิณ กรณีรักษาตัวชั้น 14 หลังแพทยสภาลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

แรงกดดันส่งตรงไปยัง “ทักษิณ-ตระกูลชินวัตร” ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากการตั้งต้น “คดีฮั้วเลือก สว.” ปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้กระทรวงยุติธรรม ที่ถูกมองว่า มีเป้าหมายสลายเครือข่ายอำนาจพรรคสีน้ำเงิน ที่กำกับดูแล “สว.สีน้ำเงิน” 

สำหรับขุมกำลังของเครือข่ายสีน้ำเงิน ซึ่งมี "เนวิน ชิดชอบ" เป็นคนกำหนดเกม โดยเชื่อกันว่ามี “พลังพิเศษ” คอยเป็นแบ็กอัปชั้นดี คอยปกป้อง “พรรคสีน้ำเงิน - สว.สีน้ำเงิน” ยามมีภัย 

ที่สำคัญบางสถานการณ์ “พลังพิเศษสีน้ำเงิน” ยังแปรเปลี่ยน เป็นหอกทิ่มแทง “คู่แค้น” ให้ขยับตัวลำบาก เดินซ้ายติดขัด เดินขวาติดชนัก จน “นายใหญ่เพื่อไทย” อย่างทักษิณ ต้องระมัดระวัง ไม่รุกล้ำแดนเครือข่ายสีน้ำเงินมากนัก 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทักษิณ” และ “เนวิน” ได้เปิดศึก ผ่าน“สงครามตัวแทน” เพื่อรักษาสถานะการนำ ทั้งเพื่อความอยู่รอดของพรรค และเครือข่าย เพราะหากใครเพลี่ยงพล้ำย่อมมีโอกาสแพ้ทั้งกระดาน 

ตัวแทนหน้าฉากของ “ค่ายสีแดง” มี นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแสดงหลัก เช่นเดียวกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” ที่มี อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นผู้นำแสดงหน้าฉาก

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

แม้ “แพทองธาร - อนุทิน” จะร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยกันทุกสัปดาห์ แต่นับวันรอยร้าวหลังฉาก ยิ่งทำให้ทั้งสองพรรคถอยห่างกันทุกที โดยเฉพาะนโยบายหาเสียงที่นำมาขับเคลื่อนให้สำเร็จ ที่ขัดแข้งขัดขากันมาอย่างต่อเนื่อง 

 บรรยากาศการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 6 พ.ค.68 ที่ผ่านมา “รัฐมนตรีเพื่อไทย” กับ “รัฐมนตรีภูมิใจไทย” ต่างฝ่ายต่างหมางเมิน ไม่พูดคุยกันเหมือนเก่า ทำให้บรรยากาศภายในห้องประชุมวังเวงจนรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ แอบหวั่นใจว่า 2 พรรคนี้จะระเบิดศึกแตกหักกันเมื่อไร

โดย “แพทองธาร” เรียกประชุมรัฐมนตรีเพื่อไทย บนตึกไทยคู่ฟ้า “อนุทิน” เรียกประชุมรัฐมนตรีภูมิใจไทย บนห้องทำงานรองนายกรัฐมนตรี บนตึกบัญชาการ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะนำลูกทีมเข้าร่วมประชุม ครม. 

ว่ากันว่า ความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคร่วมรัฐบาล นับวันยิ่งปรากฏชัด ทั้งระหว่างตัวละครหน้าฉากหลังฉาก ที่ปรากฏตัวทั้งทางลับทางแจ้ง สะท้อนให้เห็นว่า 

สถานการณ์การเมือง กำลังบีบให้ทั้งสองฝ่ายเหลือทางเลือก และทางเดินน้อยลง ซึ่งอาจเป็นไปได้ ดังนี้

ทางเลือกแรก “ปรับคณะรัฐมนตรี” ทักษิณ-แพทองธาร อาจเดินหน้าชน พร้อมโชว์พาวเวอร์พรรคแกนนำ ด้วยการปรับ ครม.ยึดกระทรวงเกรดเอ จาก “ภูมิใจไทย” ที่โฟกัสหลัก คือ “กระทรวงมหาดไทย” มาอยู่ในกำกับดูแลของพรรคเพื่อไทย โดยแลกด้วยกระทรวงเกรดเอ หรือกระทรวงเกรดบี 

ทว่า การยึดมหาดไทย ก็เสมือนยึดกล่องดวงใจของ “ภูมิใจไทย - เครือข่ายสีน้ำเงิน” หาก “ทักษิณ - แพทองธาร” ตัดสินใจลุยไฟ จำเป็นต้องเช็กเสียงในสภาฯ ว่ามีทางหนีทีไล่ให้ปลอดภัย ว่าจำนวนเสียงจาก สส.ขั้วฝ่ายค้าน ที่ฝากเลี้ยงเอาไว้ พร้อมเป็นแนวร่วมเพื่อไทย หาก “เนวิน - ภูมิใจไทย” เล่นเกมแรง ถอนตัวพ้นรัฐบาล 

หรือ หากยังไม่พร้อมแตกหักในเวลานี้ อาจลดระดับความแรง ด้วยการปรับ ครม.แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่แตะโควตา “ภูมิใจไทย” ไม่ยึดมหาดไทย 

วิธีนี้ แม้จะรักษาขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเอาไว้ได้ แต่ปัญหาความขัดแย้ง ก็ยังคงอยู่ มิหนำซ้ำอาจถูก “เครือข่ายสีน้ำเงิน” เดินเกมบีบหนักขึ้นกว่าเดิม

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

ทางเลือกที่สอง “นายกรัฐมนตรีลาออก” หาก “แพทองธาร” ตัดสินใจ “ลาออก” จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อปลดแอกจากสถานะ “ตัวประกัน” ทางการเมือง เพราะหากยังอยู่ในตำแหน่ง อาจโดน “เครือข่ายอนุรักษ์” วางบิล จนมีคดีติดตัวเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ​​​​

สถานะบนเก้าอี้ผู้นำของ “แพทองธาร” มีเดิมพันสูงลิบ ที่ “ทักษิณ” ไม่กล้าจะเดินเกมเสี่ยง ใช้ “ลูกสาว” เป็นคนทำ เพราะเกรงว่าอาจซ้ำรอย “น้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 ขณะที่ ต้องยอมรับผลเสียด้วยเช่นกัน หาก “แพทองธาร” ลาออก อำนาจทางการเมืองของ “ตระกูลชินวัตร” จะลดน้อยลง และสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยทางการเมือง และคดีของคนในครอบครัว

ที่สำคัญ ทางเลือกนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองภายในขั้วรัฐบาล นั่นคือ การเปลี่ยนพรรคแกนนำ และการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาล

สถานการณ์ที่รัฐบาลเพื่อไทย ที่ผ่านมาถึงครึ่งทาง เปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นคนที่สอง แต่กลับเผชิญสถานการณ์ “ขาลง” หนักขึ้นทุกที จึงเริ่มมีกระแสจาก “เครือข่ายอนุรักษ์” โดยมี “หัวขบวนอนุรักษ์” บางสาย เริ่มออกแรง เชียร์ให้ภูมิใจไทยขยับขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล และเปลี่ยนให้ “อนุทิน” ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

โดยมองข้าม ลำดับบัญชีรายชื่อนายกฯ ของเพื่อไทย ที่ยังเหลือ “ชัยเกษม นิติสิริ” ที่มีปัญหาสุขภาพ 

เพราะหากลำดับพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลปัจจุบัน ที่เสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรี ถัดจากเพื่อไทย ก็คือ พรรคภูมิใจไทย ที่เสนอชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ เพียงคนเดียว

หากย้อนไปดูนัยการเมืองของภูมิใจไทย ใช่ว่าจะไม่คาดหวังในเรื่องนี้  โดยในงานครบรอบวันเกิด 66 ปี “เนวิน ชิดชอบ” เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ปีที่แล้ว 2567 ระหว่างพิธีผูกข้อมือ “เนวิน” อวยพร “อนุทิน” ว่า “ผูกให้เป็นนายกฯ​ ผูกให้ยิ่งใหญ่​ ผูกให้แข็งแรง” คำพูดในวันนั้นมาถึงวันนี้ในพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่า “ครูใหญ่เนวิน” ไม่ได้พูดเล่น

หรือแม้แต่ ทีจริงทีเล่น ในการพูดคุยระหว่าง “ทักษิณ-อนุทิน” ในสถานการณ์ที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นตำแหน่งด้วยคดีจริยธรรม เวลานั้น ภูมิใจไทยยอมถอยให้ เฉพาะกรณีเพื่อไทยตัดสินใจดัน “แพทองธาร” เท่านั้น แต่หากเป็น “ชัยเกษม”ลำดับที่ 3  ภูมิใจไทยพร้อมเสนอชื่อ “อนุทิน” ขึ้นมาแข่งแน่นอน

'เพื่อไทย' VS 'ภูมิใจไทย' นายกฯ คนละครึ่ง เปลี่ยนผู้นำ พรรคแกนนำ

ความหวังของภูมิใจไทย ยังไม่ปิดประตู เมื่อมีการประเมินฉากทัศน์การเมืองอย่างต่อเนื่องว่า หากนายกฯ แพทองธาร ไปต่อไม่ได้ ภูมิใจไทย พร้อมดัน “อนุทิน” ขึ้นมากู้เรตติ้งรัฐบาลแทนการยุบสภาฯ ในขาลง 

 ไม่ควรมองข้าม ปฏิบัติการของ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่พยายามผูกเงื่อนปมสลับซับซ้อน มีจังหวะเร่ง ไม่มีจังหวะผ่อน บีบทั้ง “ทักษิณ - แพทองธาร” ให้เดินเข้าสู่มุมอับ จนใกล้ถึงเวลาตัดสินใจ ชี้เป็นชี้ตายทางการเมือง

ทางเลือกสาม “ยุบสภา” เกมนี้ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ต่างไม่พร้อมลงสนามเลือกตั้ง แต่เป็นทางเลือกสุดท้าย ไพ่ตายในมือ “ตระกูลชินวัตร” หากต้องการรีเซตการเมือง เปลี่ยนดีลกันเสียใหม่

แม้กระแสของ “เพื่อไทย” จะไม่ติดลมบนเหมือนก่อน เนื่องจาก “กระแสสีส้ม” แรงขึ้นมา จนชิงฐานเสียงทางการเมืองสีแดงไปได้จำนวนมาก แต่ยี่ห้อ “ทักษิณ” ที่ไม่ยอมแพ้ แต่ยังพยายามทำทุกทาง ให้ “เพื่อไทย” กลับมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้อีกครั้ง 

ขณะที่ “ภูมิใจไทย - เครือข่ายสีน้ำเงิน”  พรรคที่ไม่ได้มาด้วยกระแส และยังไม่พร้อมลงทุนใหญ่ในสนามเลือกตั้ง โดยไม่จำเป็น เพราะผ่านมาแค่ครึ่งทาง 

สไตล์การเมืองภูมิใจไทย ที่เพลย์เซฟ เมื่ออยู่ในอำนาจแล้ว มักจะยื้อให้นานที่สุด และพร้อมเปิดเกม ชนิดกล้าได้ กล้าเสีย โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์สีน้ำเงิน เข้าตาเครือข่ายอนุรักษนิยม อีกทั้ง “อนุทิน” ยังเล่นบท สุภาพบุรษคนกลาง เข้าได้กับทุกฝ่าย จึงอยู่รอดปลอดภัยจากสารพัดคดีการเมืองมาได้ 

ทั้ง 3 ทางเลือก จะเป็นเดิมพันระหว่าง “ทักษิณ-เนวิน” สองผู้ยิ่งใหญ่จากค่ายแดง-ค่ายน้ำเงิน ที่ต้องติดตามว่า สถานการณ์จะบังคับให้เลือกทางใด ระหว่างกอดคอกันไปต่อ ด้วยสูตร “นายกฯ คนละครึ่ง” หรือยอม “แตกหัก” ไปนับหนึ่งใหม่ในสนามเลือกตั้ง 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์