ล็อก ‘อำนาจฯ โมเดล’ ต้นทางฮั้วสว. เขย่าฐานเสียง ทุบ‘สีน้ำเงิน’

สงคราม “โพยฮั้วสว.” ท่ามกลางการเปิดฉากเอาคืนกันไปมา ผ่านทุกองคาพยพที่ต่างฝ่ายต่างมีในมือเวลานี้ ยังต้องลุ้นกัน “ช็อตต่อช็อต”
KEY
POINTS
- เจาะลึกไปยังชุดข้อมูล ตามที่มีผู้ร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ โดยระบุว่า จ.อำนาจเจริญ ถือเป็นต้นทางกระบวนการจัดฮั้วเลือก สว. โดยมี “กลุ่มนักการเมืองใหญ่”เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการ เสมือน “ศูนย์บัญชาการใหญ่” ก่อนกระจายไปยังเครือข่ายที่เป็นตัวแทนในแต่ละจังหวัด
- อีกหนึ่งชุดข้อมูลที่น่าสนใจคือ หลังการเลือก สว.ระดับประเทศ 26 มิ.ย.2567 ที่อิมแพค เมืองทองธานี 2 วันต่อมา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ iLaw และ We Watch ได้เปิดเผยรายงาน และข้อสรุป “8 จังหวัด” ที่คะแนนนำไล่ลึกลงไปจะเห็นได้ชัดว่า ทั้ง 8 จังหวัด ล้วนเป็นพื้นที่การเมืองของ “พรรคสีน้ำเงิน” ทั้งสิ้น
- เมื่อ “อำนาจเจริญ” ถือเป็นเป้าหมายหลักในการคุ้ยเส้นทางฮั้ว สว. ถึงขั้นที่ “นักวิชาการ”บางสาย เรียกว่าเป็น “อำนาจฯโมเดล” ไม่ต่างจากชื่อของ “เจ๊รวย”สุขสมรวย" ในฐานะตัวละครสำคัญ ที่แม้จะเพิ่งออกสู่ “หน้าฉาก” เป็นสส.อำนาจเจริญ สมัยแรก แต่อยู่“หลังฉาก”การเมืองมาอย่างโชกโชน
- “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ถึงที่สุดอาจไม่ใช่แค่เกมวัดพลังบนกระดาน “ฮั้วสว.” ที่เปิดฉากเอาคืนกันไปมาทุกองคาพยพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการ “เขย่าฐานเสียง” พรรคการเมืองด้วยกัน โดยเฉพาะ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ที่การเลือกตั้งรอบหน้า ยังคงต้องต่อสู้ฟาดฟันกันหลายพื้นที่
สงครามโพย “ฮั้วสว.” ท่ามกลางการเปิดฉากเอาคืนกันไปมา ผ่านทุกองคาพยพที่ต่างฝ่ายต่างมีในมือเวลานี้ ยังต้องลุ้นกัน “ช็อตต่อช็อต” ตราบใดที่สงครามยังไม่จบ ก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าฝ่ายไหน “แพ้-ชนะ”
ฝั่ง “สีแดง” เห็นชัดถึงสัญญาณที่ส่งผ่านองคาพยพ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ “หมอเปรม” นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.สายสีแดง เดินเกมขวางการสรรหาบุคคลในองค์กรอิสระ ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่ โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เวลานี้อยู่ในกระบวนการสรรหาของวุฒิสภา ที่ถูกกุมอำนาจโดยฝั่ง “สีน้ำเงิน”
ไม่ต่างจากผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นรอบที่สอง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า อาจเป็นการตอบสนองฝ่ายการเมืองหรือไม่อย่างไร หลังมีการโหวตคว่ำ“ผู้ถูกเสนอชื่อ”ในรอบแรก ที่ว่ากันว่า เป็นการเตะตัดขา “การเมืองขั้วตรงข้าม”
ไม่ต่างจากอีกหนึ่ง “องคาพยพสีแดง” นั่นคือ คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ล็อกเป้าสอบ“เส้นทางฮั้วสว.”
เมื่อเจาะลึกไปยังชุดข้อมูล ตามที่มีผู้ร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ โดยระบุว่า จ.อำนาจเจริญ ถือเป็นต้นทางกระบวนการจัดฮั้วเลือก สว. โดยมี “กลุ่มนักการเมืองใหญ่”เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการ เสมือน “ศูนย์บัญชาการใหญ่” ก่อนกระจายไปยังเครือข่ายที่เป็นตัวแทนในแต่ละจังหวัด
สอดคล้องกับที่ “บิ๊กวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะตัวแทน สทร. ขณะที่ยังดูแลดีเอสไอ เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ โดยยอมรับว่า “อำนาจเจริญ” เป็นพื้นที่มีพยานมากกว่า300 ปาก แต่ไม่จำเป็นต้องสอบทั้งหมด
จึงได้เห็นชัดถึงเกมโต้กลับของฝ่าย “ฝ่ายสีน้ำเงิน” ทั้งเกมใน กมธ. ที่ว่ากันว่าเป็นไปอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ “เจ๊รวย” สุขสมรวย วันทนียกุล สส.อำนาจเจริญ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแม่ทัพใหญ่ ที่เป็นโฆษก กมธ.ชุดนี้ด้วย
ไม่ต่างจาก “องคาพยพสีน้ำเงิน” ในฐานะที่คุมกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือลับ ลงนามโดย “ณรงค์ เทพเสนา” ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย รายงานเหตุ กลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ พร้อมบังคับให้อดีตผู้สมัคร สว. รับสารภาพว่า ได้กระทำความผิดในการฮั้ว
หรือกรณีล่าสุดที่ “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร” สว. ซึ่งรู้กันทั้งบาง ว่าเป็น “สว.สายสีน้ำเงินเข้ม”และเป็นสายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เปิดเกมโต้กลับ ตั้งโต๊ะแถลง หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “ทวี” หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลดีเอสไอ
ขยี้ซ้ำไปที่ประเด็นบังคับพยานที่จ.อำนาจเจริญ โดยเตรียมนำประเด็นดังกล่าว ไปยื่นเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาหลังจากนี้
อีกหนึ่งชุดข้อมูลที่น่าสนใจคือ หลังการเลือก สว.ระดับประเทศ 26 มิ.ย.2567 ที่อิมแพค เมืองทองธานี 2 วันต่อมา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ iLaw และ We Watch ได้เปิดเผยรายงาน และข้อสรุป “8 จังหวัด” ที่คะแนนนำ รอบเลือกกันเอง และรอบเลือกไขว้
โดย “8 จังหวัด” ที่ว่า มีผู้สมัคร สว.ผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ได้ รวมถึง 286 คน อันดับที่หนึ่ง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา บุรีรัมย์ และสตูล มีผู้สมัครผ่านเข้าสู่รอบเลือกไขว้ จังหวัดละ 38 คน อันดับสอง คือ อ่างทอง และเลย ผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ 37 คน อันดับสาม คือ อำนาจเจริญ มีผู้ผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ 36 คน ตามด้วย ยโสธร และสุรินทร์ 34 และ 28 คนตามลำดับ
เวลานั้น มีการตั้งข้อสังเกตว่า จ.อำนาจเจริญ ที่มี สส.เพียง 2 คน จากพรรคภูมิใจไทยทั้งคู่ กลับปรากฏว่า มีว่าที่ สว.สอบผ่านมากถึง 5 คน
เหนือไปกว่านั้น หากไล่ลึกลงไปจะเห็นได้ชัดว่า ทั้ง 8 จังหวัด ล้วนเป็นพื้นที่การเมืองของ “พรรคสีน้ำเงิน” ทั้งสิ้น
แน่นอนว่า เมื่อ “อำนาจเจริญ” ถือเป็นเป้าหมายหลักในการคุ้ยเส้นทางฮั้ว สว. ถึงขั้นที่ “นักวิชาการ”บางสาย เรียกว่าเป็น “อำนาจฯโมเดล”
ไม่ต่างจากชื่อของ “เจ๊รวย”สุขสมรวย" ในฐานะตัวละครสำคัญ ที่แม้จะเพิ่งออกสู่ “หน้าฉาก” เป็นสส.อำนาจเจริญ สมัยแรก แต่อยู่“หลังฉาก”การเมืองมาอย่างโชกโชน
คนอำนาจเจริญ จะรู้จัก “เจ๊รวย”สุขสมรวย ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองใหญ่ อาทิ สุทัศน์ เงินหมื่น และศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ อดีตนายก อบจ.อำนาจเจริญ
ปี 2557 “เจ๊รวย” มีส่วนผลักดันให้ “ต่าย” ญาณีนาถ เข็มนาค อดีตนายก อบต.โนนหนามแท่ง เป็น สว.หญิงคนแรกของจังหวัด โดย ณ ปัจจุบัน “ต่าย” ญาณีนาถ ก็เป็น สส.อำนาจเจริญ เคียงคู่อยู่กับ“เจ๊รวย”
การเลือกตั้งสมัยที่แล้ว “เจ๊รวย” ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับส่ง “วันเพ็ญ ตั้งสกุล” ลงสมัคร สส.อำนาจเจริญ เขต 1 และ “ต่าย”ญาณีนาถ เข็มนาค ลงเขต 2 แต่พ่ายพรรคเพื่อไทย
“เจ๊รวย” ในฐานะแม่ทัพใหญ่อำนาจเจริญ ได้รับตำแหน่งเลขานุการ รมว.คมนาคม (ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการภูมิใจไทย ในเวลานั้น ) เป็นรางวัลปลอบใจ
กระทั่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทั้ง “เจ๊รวย”สุขสมรวย และ “ต่าย”ญาณีนาถ ได้ลงสมัคร สส.อำนาจเจริญ สามารถล้ม "สมหญิง บัวบุตร“ อดีต สส.อำนาจเจริญ และ "ดะนัย มะหิพันธ์" อดีต สส.อำนาจเจริญ แห่งพรรคเพื่อไทย ตีตั๋วเข้าสภาฯได้สำเร็จ
แถมดัน “พนัส พันธุ์วรรณ” รองนายก อบจ.อำนาจเจริญ ชนะเลือกตั้ง ผงาดขึ้นสู่ “นายกอบจ.อำนาจเจริญ” กุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกด้วย
ด้วยการบริหารจัดการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนี้เอง จึงไม่แปลกที่ “อำนาจเจริญ” จะถูกล็อกเป้า ว่าเป็นต้นทางในกระบวนการเลือก สว.ครั้งนี้
จากนี้ต้องติดตาม “คดีโพยฮั้วสว.” ซึ่งมีทั้งความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง และพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. มีการจับตาว่า กระบวนการนี้กำลังนับถอยหลัง ใกล้ครบ 1 ปีตามที่กฎหมายกำหนดไว้ นับตั้งแต่ กกต.รับรอง สว.200 คน ไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2567
ทว่า ในเรื่องกรอบเวลา 1 ปีนี้เอง มีปม“เห็นต่าง” จาก “เสรี สุวรรณภานนท์” อดีตสว. และนักกฎหมายชื่อดัง เคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ว่า คนทั่วไปยังไปยึดติดรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า ที่มีการกำหนดกรอบเวลา 1 ปีเอาไว้ เพื่อกำกับการทำงานของ กกต. และเป็นการเคารพสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา ที่ผ่านมาเลือกตั้ง หรือคัดเลือกเข้ามา (ทั้งสส.และ สว.) ถือว่าเป็นตัวแทนประชาชน จึงควรมีกรอบเวลาในการตรวจสอบ หากพ้นเวลาที่กำหนด ก็ต้องถือได้ว่า ผ่านการเลือกตั้ง หรือคัดเลือกเข้ามาโดยสุจริตเที่ยงธรรม
แต่ในรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ฉบับปัจจุบัน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ตัดข้อความส่วนนี้ออกไปแล้ว ฉะนั้นการ “สอย” จึงทำได้ โดยไม่มีกรอบเวลา 1 ปี โดยเฉพาะหากพบ “ข้อเท็จจริงใหม่” ว่ากระบวนการเลือกเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม
ยังไม่นับรวมสำนวน “คดีฟอกเงิน” และ“อั้งยี่” ที่อยู่ในการดูแลของดีเอสไอ ภายใต้การกำกับดูแลของ “ดุลอำนาจสีแดง” ที่นาทีนี้เผือกร้อนตกไปอยู่ในมือ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ที่จะต้องตั้งรัฐมนตรี มากำกับดูแลดีเอสไอแทน “ทวี”
ต้องจับตา “เกมนิติสงคราม” ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ถึงที่สุดอาจไม่ใช่แค่เกมวัดพลังบนกระดาน “ฮั้วสว.” ที่เปิดฉากเอาคืนกันไปมาทุกองคาพยพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการ “เขย่าฐานเสียง” พรรคการเมืองด้วยกัน โดยเฉพาะ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ที่การเลือกตั้งรอบหน้า ยังคงต้องต่อสู้ฟาดฟันกันหลายพื้นที่
ก็คงเหมือนอย่างที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มักจะเปรียบเทียบ“การเมือง” กับ “เกมกีฬา” พอลงสนาม ก็ต้องสู้กันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอมใคร!







