'ให้มันจบที่รุ่นเรา' ความใฝ่ฝันของเยาวชนไทย ในสภาวการณ์การเมืองร่วมสมัย

“ให้มันจบที่รุ่นเรา” คือ ปณิธานของนิสิตนักศึกษา หรือว่าเยาวชนไทยที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี พ.ศ.2563
เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมที่ดำรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนานอีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ปัญหานี้ตกทอดเป็นภาระคนรุ่นหลังต่อไปอีก
ผมและผู้ร่วมวิจัยอีก 4 ท่านได้ทำการวิจัยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากห่างหายไปเกือบสี่ทศวรรษ พวกเขาจัดองค์กรและสร้างเครือข่ายอย่างไร เรียกร้องสิ่งไหน เคลื่อนไหวด้วยกลวิธีใด และสามารถบรรลุปณิธานที่พวกเขาตั้งไว้หรือไม่อย่างไร
พวกเราพบว่าเยาวชนเข้าสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้เงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง เริ่มจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่เกิดและเติบโตในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองก่อตัว จึงมีโอกาสซึมซับรับรู้ความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง
และได้กลายเป็นเบ้าหลอมความคิดทางการเมืองของพวกเขาในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นปัจจัยผลักดันให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทหลักในการเคลื่อนไหว เนื่องจากกลุ่มการเมืองก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น “เหลือง” หรือ “แดง” ได้สลายตัวลง
ในช่วงแรกเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวมีจำนวนไม่มาก ทว่าหลังจากที่รัฐบาลคณะรัฐประหารได้รุกล้ำชีวิตส่วนตัวของพวกเขา ประกอบกับการประจักษ์ในความล้มเหลวทางศีลธรรมของคณะรัฐประหารที่มักอวดอ้างความดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความผิดหวังจากการใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ที่พรรคการเมืองฝั่งที่พวกเขาสนับสนุนไม่สามารถร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล พวกเขาจึงเริ่มแสดงออกทางการเมืองอย่างกว้างขวาง พร้อมกับสำนึกในความเป็น “รุ่น” ที่ก่อตัวขึ้นในหมู่พวกเขา
ในช่วงแรกพวกเขาแสดงออกทางการเมืองในสื่อทางสังคมเป็นหลัก ทว่าหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนและตัดสิทธิทางการเมืองผู้บริหารพรรค พวกเขาได้ขยายพื้นที่การแสดงออกไปยังโลกกายภาพ
เริ่มจากในรูปของ “แฟลชม็อบ” ในสถานศึกษา ก่อนจะขยับออกมาด้านนอกหรือ “ลงถนน” หลังจากมีการควบคุมตัวเยาวชนอย่างผิดขั้นตอนกฎหมายที่ จ.ระยอง ประกอบกับความโกรธเคืองต่อการลักพาตัวนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างอุกอาจในประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเยาวชนในปัจจุบันต่างจาก “ขบวนการนักศึกษา” ในทศวรรษ 2510 ในหลายลักษณะ นับตั้งแต่ในแง่ที่ว่าเป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมและในแนวราบ ไม่ได้มี “องค์กรนำ” หรือมีการ “จัดตั้ง” ภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองหลัก
ขณะเดียวกันก็มีการใช้สื่อทางสังคมเป็นช่องทางในการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวในโลกกายภาพในรูปแบบที่หลากหลาย ประการสำคัญคือมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งทั้ง “ขบวนการนักศึกษา” ในยุคก่อนหน้ารวมถึงขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมาไม่เคยเสนอมาก่อน
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของเยาวชนในปัจจุบันไม่ได้มีเฉพาะคนรุ่นเยาว์ หากแต่ประกอบด้วยคนหลายช่วงวัย โดยเฉพาะคนช่วงวัยสูงกว่า ซึ่งในด้านหนึ่งถูกยึดโยงเข้าด้วยกันจากการมีประสบการณ์ร่วมในเรื่องของปัญหาและความยากลำบากในการดำรงชีวิต
และความโกรธเคืองที่ถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ขณะที่อีกด้านพวกเขาถูกเชื่อมร้อยด้วยแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่คล้ายคลึงกัน จนกระทั่งกลายเป็นคน “รุ่น” เดียวกันในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
คนวัยสูงกว่าไม่เพียงแต่เข้าร่วมและสนับสนุนกิจกรรมของเยาวชน หากแต่ยังจัดกิจกรรมหนุนเสริมเยาวชนควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่การเคลื่อนไหวของเยาวชนเบาบางลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม “คาร์ม็อบ” “ยืนหยุดขัง” หรือว่า “กองทุนราษฎรประสงค์” ซึ่งจัดโดยนักกิจกรรมทางสังคมโดยความร่วมมือกับนักวิชาการบางส่วน ไม่นับรวมการสนับสนุนจากภาคการเมืองโดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านในช่วงเวลาดังกล่าว
ในทางกลับกัน คนวัยสูงกว่าบางส่วนต่อต้านการเคลื่อนไหวของเยาวชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโลกทัศน์ ระบบคุณค่า และอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการจัดชุมนุมประจันหน้า การแจ้งความเอาผิด หรือการเร่งรัดการดำเนินคดี
โดยเฉพาะในภาคใต้ คนวัยสูงกว่าไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเยาวชนมีลักษณะก้าวร้าวรุนแรง แม้ท่าทีของพวกเขาต่อเยาวชนจะมีลักษณะเป็น “ผู้ใหญ่” ห่วงใย “เด็ก” ก็ตาม
นอกจากนี้ รัฐบาลไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของเยาวชนไม่ว่าจะเป็นข้อใด อีกทั้งยังขัดขวางและสลายการชุมนุมด้วยมาตรการที่รุนแรงและไม่ได้สัดส่วน รวมถึงมีการตั้งข้อหาดำเนินคดีเยาวชนตลอดจนประชาชนที่เห็นต่างจำนวนมาก และศาลมักไม่อนุญาตให้ประกันตัวพวกเขาออกมาสู้คดี
ขณะที่ยังคงมีการอาศัยสถาบันการศึกษารวมถึงสื่อและกิจกรรมต่างๆ เป็นช่องทางในการกล่อมเกลาเยาวชนให้ว่านอนสอนง่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เพราะเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของเยาวชนในปัจจุบันจึงอยู่ในลักษณะถอยร่นหรือตั้งรับเป็นหลัก เยาวชนหลายคนถูกคุมขังทั้งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและที่คดีถึงที่สุด ขณะที่บางคนลี้ภัยไปต่างประเทศเพราะเห็นว่าโอกาสที่จะได้รับความยุติธรรมในการสู้คดีไม่มี
แต่ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวของเยาวชนที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคมหลัก จนอาจถือได้ว่าพวกเขาสามารถ “ให้มันเริ่มที่รุ่นเรา” แล้ว