จาก‘ฮั้ว’ ถึง‘ทานหญ้าหวาน’ ถึงครา ‘รีโนเวต’รัฐธรรมนูญ

ปรากฎการณ์การเมืองไทย ทั้ง "ฮั้วสว." โยงสู่ สงครามการเมือง2สี จนถึงกรณี "ทานหญ้าหวาน" ในศึกเลือกตั้งท้องถิ่น ทำให้เกิดคำถาม รธน.60 กลไกปราบโกงยังใช้ได้จริงหรือ?
KEY
POINTS
Key Point :
- การเมืองไทย ปัจจุบัน มีสภาพไม่ต่างจาก20ปีที่แล้ว
- ที่สถานการณ์ฟอนเฟะ มีเรื่องฉาวโฉ่ ในแง่การใช้ "ทุน" เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้าสู่อำนาจ-การบริหาร
- ประเด็นฮั้วสว. ที่โยงสู่การฟาดกันของ 2 ฝ่ายการเมืองร่วมรัฐบาล จนมาถึง "ทานหญ้าหวาน"
- สะท้อนได้ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบเพื่อปราบโกง มีกลไก คุมเข้มนักการเมือง นั้น ล้มเหลว
- ทว่า คนยกร่างรัฐธรรมนูญ นี้ ยังการันตีกลไกที่ออกแบบ
- แต่ 8ปีที่ผ่านไป ถึงเวลาต้องรีโนเวตแล้ว
- เพราะหาก ทู่ซี้ต่อไป อาจเป็น ลางร้าย ของ ประชาธิปไตยไทย
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองปัจจุบัน ถือเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ทำให้ต้องหวนกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่ถูกยกให้เป็น “ฉบับปราบโกง” ใช้ได้ผล และ “ปฏิรูปการเมือง” ได้จริงหรือไม่
ก่อนหน้าที่ “รัฐธรรมนูญ 2560” จะกำเนิด “สังคมไทย-การเมืองไทย” ยามนั้น ถูกมองว่ามีแต่เรื่องมีแต่ราว
หากถอดรหัสตามคำปรารภในรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุความตอนหนึ่งว่า “การปกครองไม่มีเสถียรภาพ หรือราบรื่นเรียบร้อย เพราะมีปัญหาข้อขัดแย้ง บางครั้งเป็นวิกฤติทางรัฐธรรมนูญที่หาทางออกไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้นำที่ไม่นำพา หรือยำเกรงกฎบ้านเมือง ทุจริต ฉ้อฉล หรือบิดเบือนอำนาจ ขาดสำนึกรับผิดชอบ”
สาระของรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกเขียนให้มี “กลไกจัดระเบียบ และสร้างความเข้มแข็งให้กับการปกครอง ด้วยการจัดโครงสร้าง หน้าที่ อำนาจองค์กรต่างๆ และสัมพันธภาพระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารให้เหมาะสม รวมไปถึงวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ ขจัดทุจริต และประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เพื่อไม่ให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามาปกครองบ้านเมือง”
ทว่า หลังการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560 มาครบ 8 ปีเต็ม นับจาก 6 เม.ย.2560 กลับพบว่ากลไกที่ “รัฐธรรมนูญ 2560” วางให้เป็นโครงสร้างใหม่ของสังคม-การเมืองไทย ถูกข้อครหาในหลายประเด็น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การออกแบบระบบ “เลือกกันเองของ สว.” ที่ปัจจุบันกลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่ ถูกตรวจสอบ “การเลือกที่ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” มีการคุ้ยถึงเส้นเงินต่อการทุจริต หรือสมยอม เพื่อให้มีการฮั้วเลือกเพื่อให้ “คนที่เป็นเป้าหมาย” ของฝ่ายการเมือง ได้รับเลือก
ขณะเดียวกัน “องค์กรอิสระ” ถูกตั้งคำถาม รวมถึง “สว.” ที่ได้มาตามกลไกใหม่ ยังถูกจับเป็นตัวประกัน ในเกมของ “ผู้มีอำนาจ” 2 ฝ่าย ซึ่งอยู่เบื้องหลัง “ฝ่ายการเมือง” ที่มีหน้าที่บริหารประเทศโดยตรง
ประเด็นที่ว่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสะท้อนความ “ล้มเหลว” ของรัฐธรรมนูญ ที่พยายามปฏิรูประบบการเมืองใหม่
โดย “ชาติชาย ณ เชียงใหม่” อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ออกปากยอมรับว่า รัฐธรรมนูญ 2560 นั้นมีจุดพลาด คือ เซ็ตให้มี “การปฏิรูปประเทศ” แต่ฝ่ายบริหารขณะนั้น กลับไม่ใช่อำนาจเด็ดขาดเพื่อให้ “การปฏิรูปเป็นการปฏิรูปที่แท้จริง" แต่กลับใช้ “ข้าราชการ” เป็นคนทำ
สำหรับประเด็น “สว.” ที่มีข้อครหาต่อการเลือกว่า “ฮั้ว” ทั้งนี้เป็นการออกระบบใหม่ ที่มาจากไอเดียของ “อดีต กรธ.” จุดนี้ “ชาติชาย” ยอมรับว่า ผิดไปจากความคิดที่ออกแบบไว้เดิม ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสมัครมากที่สุด แต่เมื่อใช้จริงพบว่า มีกระบวนการ สมยอม และต่อยอดเป็น “สงครามการเมือง" ที่เล่นกันแรง ระหว่าง “ฝ่ายแดง” กับ “ฝ่ายน้ำเงิน” และใช้กฎหมายห้ำหั่นกัน
“สีนำ้เงินโผล่มา ในลักษณะที่คุมไม่อยู่ ขณะเดียวกันสีแดงที่มีผู้นำทางจิตวิญญาณ อย่าง สทร. ทำสิ่งที่เกินเลยขอบเขต ก้าวล่วงรัฐบาล ทำให้รัฐบาลไร้บทบาท นายกฯ ที่มี ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้เห็นการปะทะกัน และต่างฝ่ายต่างต่อรองกัน แม้จะอยู่เรือลำเดียวกัน แต่ก็ตีกันไป ประคองกันไป ทำให้บ้านเมืองน่าเป็นห่วง ในแง่ของเอกภาพรัฐบาล ต่างฝ่ายต่างจ้องดูว่าเรือจะล่มเมื่อใด” อ.ชาติชาย ระบุ
หากถอดรหัสสถานการณ์การเมืองได้ดังนั้น คำถามใหญ่คือ “รัฐธรรมนูญ 2560 คือ ตัวการใช่หรือไม่?” ซึ่ง “อ.ชาติชาย” ตอบว่า “รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ตัวการให้เกิดขึ้น เพราะไม่ได้สร้างเครื่องมือปราบโกงเพื่อให้นำไปใช้ห้ำหั่นกัน กับสถานการณ์ตอนนี้ เขากำลังเอาหลายเรื่องมาโยงกัน ทั้งประเด็นฮั้ว สว. การดำรงอยู่ของ รัฐบาล และบทบาท สทร. ผมมองว่า คือการต่อสู้ของกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ ระหว่างสีน้ำเงินและสีแดง"
กับอีกประเด็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็น “ความล้มเหลว” ของรัฐธรรมนูญ ปราบโกง คือ การเลือกตั้งท้องถิ่น ที่กลายเป็น “วาระร้อน”
ต่อคำให้สัมภาษณ์ของ “นายกเบี้ยว” กฤษฎา หลีนวรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จ.ปทุมธานี ว่า “ธัญบุรีกินหญ้าหวาน ทำให้ทีมธัญบุรีก้าวหน้าชนะเลือกตั้ง พ่อแม่พี่น้องชาวธัญบุรีทานหญ้าหวาน แล้วจะทานตลอดไป”
ทำให้ต้องย้ำกับคำถามว่า “กลไกของรัฐธรรมนูญ” คุมเข้มไปถึงการปราบอิทธิพลบ้านใหญ่ได้จริงหรือไม่
“การซื้อเสียง ฝังรากลึกในสังคม รัฐธรรมนูญไม่สามารถเขียนเพื่อล้างอิทธิพลบ้านใหญ่ได้ แต่องค์กรที่มีหน้าที่ต้องทำงานไม่ให้ซื้อเสียง ขายสิทธิ เพราะเครือข่ายที่มีเขามีระบบอุ้มกัน มีระบบเจ้าพ่อ มีหญ้าหวานทุกหย่อมหญ้า เพราะโครงสร้างการเมืองไทย ทุกระดับผูกขาดแบบแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน แม้มีทางให้แก้ แต่เขาไม่แก้ เนื่องจากคนได้ประโยชน์คือ นักการเมือง” อ.ชาติชาย ตอบคำถาม
นอกจากนั้นแล้ว อดีต กรธ.ผู้นี้ ยังวิเคราะห์ในประเด็นที่บ้านใหญ่แสดงอิทธิฤทธิ์ไม่รู้จบด้วยว่า สะท้อนให้เห็นคุณภาพของนักการเมือง ที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน ที่นำไปสู่วิกฤติการเมือง ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์
หากมองภาพของรัฐธรรมนูญที่ใช้มา 8 ปี เวลานี้คือจังหวะ “รีโนเวต” โดยเฉพาะ กลไกองค์กรอิสระ การควบคุมตรวจสอบ รวมถึงระบบเลือกตั้ง สส. การเลือก สว. ซึ่งอาจใช้วิธีเลือกแบบเดิม แต่ต้องเขียนคุณสมบัติชัดเจน ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนจากกรณีที่บ้านใหญ่แสดงอิทธิฤทธิ์ ระดมคนมา แบบที่เราไม่เคยคาดคิดถึง
จากภาพของการเมือง ที่มีวาระใหญ่ ตั้งต้นจาก “ฮั้ว สว.” ไปสู่สงครามตัวแทน และความเน่าของ “ระบบอุปถัมภ์” ฝังลึกในท้องถิ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่า สัญญาณเหล่านี้คือ “ลางร้าย” ของระบอบประชาธิปไตยไทย.







