วิบากพรรคส้ม 6 ปี ‘งูเห่า’ 3 รอบ จุดแข็งกระแส VS จุดอ่อนบุคคล

ชำแหละปฐมบท ‘งูเห่าส้ม’ 6 ปี เกิด 3 รอบ กางปัญหาไฉนเฟ้นหา ‘ดีเอ็นเอส้มแท้’ ล้มเหลว? คัดสรรออก 2 ยุค ‘อนาคตใหม่’ ยอมรับ ยังไม่มีเวลาคัดตัวผู้สมัครมากพอ ชนวนลายพันธุ์งูเห่า
KEY
POINTS
- ชำแหละปฐมบท ‘งูเห่าสีส้ม’ 6 ปี เกิด 3 รอบ กางปัญหาสำคัญไฉนเฟ้นหา ‘ดีเอ็นเอส้มแท้’ ล้มเหลว?
- แบ่งการคัดสรรออก 2 ยุค สมัย ‘อนาคตใหม่’ ยอมรับ ยังไม่มีเวลาคัดตัวผู้สมัครมากพอ ชนวนเหตุกลายพันธุ์เป็นงูเห่าจำนวนมาก
- ยุคก้าวไกล ‘ต๋อม ชัยธวัช’ กางแนวคิด คัดตัวผู้สมัครให้เข้มข้นขึ้น ยุค ปชน. ‘ติ่ง ศรายุทธิ์’ ลุยตั้ง กก.จังหวัด คัดตัวเบื้องต้น ทำให้ ‘งูเห่า’ แทบสูญพันธุ์
- จับตา ‘ลำพูนโมเดล’ ดีล ‘บ้านใหญ่’ หลายพื้นที่ หวังผลเจาะ ‘แดงเข้ม-น้ำเงินเข้ม’ ปูทางแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
เกิดปรากฎการณ์ “งูเห่า” ครั้งที่ 3 ในรอบ 6 ปีสำหรับ “พรรคส้ม” โดยทั้ง 3 ครั้งเกิดขึ้นใน “3 ยานพาหนะ” นั่นคือครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ในช่วงกระแสโรยราของ “พรรคอนาคตใหม่” ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ “พรรคอนาคตใหม่” ถูกยุบต่อมาตั้ง“พรรคก้าวไกล” และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในยุค “พรรคประชาชน” กรณี กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 ปชน. ประกาศ “ยุติบทบาท” กับพรรค และขอให้พรรคขับตัวเองออก เพื่อจะได้ย้ายไปซบพรรคกล้าธรรม
เงื่อนปมที่น่าสนใจในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากกรณี “กฤษฏิ์” เล่าถึงสาเหตุที่ต้องขอยุติบทบาทภายในพรรค ปชน.โดยอ้างว่า 1.ในพรรคมีความ Toxic 2.ถูกเหยียดหยามทางเพศสภาพ 3.มีความขัดแย้งเรื่องการทำงานภายในพรรค ซึ่งประเด็นแตกหักคือกรณีอภิปรายเกี่ยวกับการสร้างอ่างเก็บน้ำบนเกาะสีชังของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอเป็นตัวแทนราษฎรในการเข้าเฝ้าฯ และขอให้กระทรวงมหาดไทยทำงบประมาณเพื่อวางท่อประปาต่อน้ำไปยังเกาะสีชัง เพื่อไปยังอ่างเก็บน้ำ แต่ถูกคนในพรรควิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม
นี่ยังไม่นับกรณี “งูเห่าภาค 3” ในช่วง “พรรคก้าวไกล” ถูกยุบพรรค ว่ากันว่ามี สส.สีส้ม บางคน แอบดอดเข้าพบ “บิ๊กเนมบ้านป่าฯ” หวังขอย้ายพรรค ซบฝ่ายรัฐบาล ทว่าถูก “เซย์ โน” เพราะเสียงของรัฐบาลมีจำนวนมากกว่า 300 เสียงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับ “งูเห่า” มาเพิ่มเติมให้ “เสียภาพลักษณ์” แต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี เรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องความขัดแย้งทาง “ความคิด-อุดมการณ์” สถานการณ์หลังจากนี้ “ปชน.” วัดใจแล้วว่า จะใช้ยุทธวิธี “ดองงูเห่า” คือไม่ขับพ้นพรรค แต่ปล่อยไว้จนกว่าจะหมดสมัย
ดังนั้นหากมี “งูเห่า” เกิดขึ้นอีกหลังจากนี้ คงต้องทำใจไว้แล้วว่า จะไม่ถูกขับออกจากพรรคอย่างแน่นอน และอาจเสียสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เก้าอี้ใน กมธ.คณะต่าง ๆ ของฝ่ายค้าน เป็นต้น
ประเด็นที่น่าสนใจ แม้ในการเลือกตั้งครั้งถัด ๆ ไป บรรดา “งูเห่า” เหล่านี้จะถูก “สอนบทเรียน” พ่ายแพ้สอบตกกันระนาวก็ตาม แต่ก็ยังคงเกิด “ฟาร์มงูเห่า” ขึ้นกับ “พรรคส้ม” หลายครั้ง ตลอด 6 ปีนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 หลังรัฐประหาร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ในทางการเมืองมีการวิเคราะห์กันว่า สาเหตุประการสำคัญน่าจะมาจาก “รัฐธรรมนูญ” ปี 2560 ที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง
กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่หลายคนกล่าวอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดของภาคประชาชน ให้อำนาจ “พรรคการเมือง” ไว้ค่อนข้างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถ้าหากเจอ “งูเห่า” สามารถขับพ้นพรรค และ สส.ที่ถูกขับพ้นพรรค จะต้องพ้นเก้าอี้ สส.ไปด้วย นั่นจึงทำให้ “นักเลือกตั้ง” กลัวเกรง ไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ แต่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ตัดอำนาจตรงนี้ลงไป ทำให้ สส.ที่ถูกขับพ้นพรรค สามารถลอยหน้าลอยตา หาพรรคใหม่สังกัดได้ภายใน 60 วัน จึงเกิด “ช่องโหว่” ให้มี “ฟาร์มงูเห่า” เกิดขึ้น
ทว่า อีกมุมหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความไม่เข้มงวดในการ “คัดตัวผู้สมัคร” ทั้งการเมืองท้องถิ่นคือ ผู้สมัคร อบจ. อบต. หรือเทศบาล รวมถึงการเมืองระดับชาติ คือ สส.เขต เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” จนมาถึง “ปชน.”
โดย “คีย์แมนสำคัญ” ที่เคาะตัวคนสุดท้ายคือ “กลุ่มเพื่อนเอก” ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเวลานี้หนีไม่พ้น “ศรายุทธิ์ ใจหลัก” หรือ “ติ่ง” เพื่อนซี้ “เอก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน” โดยเขามีบทบาทในพรรคส้มตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เคยเป็นอดีต ผอ.พรรคอนาคตใหม่ อดีต ผอ.พรรคก้าวไกล ปัจจุบันสวมหัวโขนเป็น “เลขาธิการ ปชน.”
เดิม “ศรายุทธิ์” ถูกวางคิวให้คุม “เลือกตั้งท้องถิ่น” ที่คณะก้าวหน้ามีบทบาทในช่วงปี 2563-2564 ทว่าพ่ายแพ้ ไม่ประสบความสำเร็จ
“เอก ธนาธร” จึงส่งมอบภารกิจต่อให้ “ก้าวไกล” ดำเนินการแทน และเขาก็มีบทบาทสำคัญในการคัดตัวผู้สมัครลงรับเลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงปี 2567-2568 โดยในรอบนี้แม้จะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ก็ได้จำนวน “นายกฯเล็ก-สมาชิกสภาท้องถิ่น” เพิ่มขึ้นพอสมควร มากกว่ายุค “อนาคตใหม่”
แม้กระนั้น ปัญหาเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ เช่น กรณีผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล 2 คน ที่โดนขุดคุ้ยว่า เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีทางอาญา และบางคนถูกจับกุมระหว่างหาเสียงสมัครรับเลือกตั้งอยู่ด้วยซ้ำ ส่งผลให้พรรคต้องโร่มาขอโทษประชาชน และขับ 2 คนดังกล่าวออกจากสมาชิก ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ปลายเหตุ”
ยังไม่นับก่อนหน้านี้ ที่อดีตผู้สมัคร สส. หรือผู้สมัครท้องถิ่นของพรรคหลายคน เคยถูกกล่าวหาในหลายคดี เช่น สส.ระยอง ที่ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง สส. หลังถูกขุดคุ้ยว่าเคยต้องโทษ “คดีลักทรัพย์” แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้จงใจสมัครทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติก็ตาม แต่ “ภาพลักษณ์” ของ “พรรคส้ม” ก็เริ่มเสียลงไปเรื่อย ๆ
ที่ผ่านมาในการคัดตัวผู้สมัคร สส.ของ “พรรคส้ม” แบ่งออกเป็น 2 ยุค ยุคแรก คือต่อก่อร่างสร้างพรรคอนาคตใหม่ แกนนำพรรคส้มขณะนั้นหลายคน ยืนยันข้อเท็จจริงตรงกัน ยอมรับว่า การคัดเลือกตัวผู้สมัคร สส.มีเวลาค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาสมัคร หวังผลประโยชน์ทางการเมืองค่อนข้างเยอะ พรรคไม่รับสมัครก็มาก แต่ก็มีบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้ามาได้ ทำให้เกิดกรณี “งูเห่าสีส้ม” จำนวนมาก เมื่อพรรคถูกยุบ และต้องย้ายไปพรรคก้าวไกล
ยุคต่อมาคือ “ก้าวไกล-ปชน.” ซึ่งยุคนี้ เริ่มแคมเปญ “ก้าวไกล NEXT” ในยุค “ต๋อม ชัยธวัช” นั่งเลขาธิการพรรค เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เน้นกระบวนการระดมความเห็นจากสมาชิกพรรค อาสาสมัคร ประชาชนที่สนับสนุนพรรค เพื่อที่จะไปสู่การปรับปรุง ปฏิรูปพรรค
โดยการถอดบทเรียนเรื่อง “ส.ส.งูเห่า” นั้น “ชัยธวัช” กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน เกิดจากเราไม่มีเวลาในการคัดสรรให้ดีพอ หรือทดลองการทำงานร่วมกัน เพื่อให้รู้จักกันมากขึ้น ในรอบนี้เรามีเวลาพิจารณา กระบวนการทดลองการทำงานก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่จริง ๆ และส่งผู้สมัครอย่างเป็นทางการ ตรงนี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง คราวนี้เราให้ทีมงานในพื้นที่มีส่วนร่วมประเมิน และทำงานกับผู้สมัคร ส.ส. อย่างใกล้ชิดด้วย ส่วนในระยะยาวสิ่งที่จะต้องทำให้ได้ คือการสร้างนักการเมืองของพรรค มีกระบวนการที่เรามีความมั่นใจขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ต้องรอเป็นการรับสมัครเป็นครั้ง ๆ ไป
ถัดมาในยุค ปชน. มีการตั้ง “คณะกรรมการจังหวัด” โดยคัดเลือกจากตัวแทนระดับอำเภอมารวมกัน เพื่อสรรหาตัวผู้สมัครมาตั้งแต่ต้น คลุกคลีตีโมงร่วมงานกันมาแต่แรก เพื่อให้ได้ “ดีเอ็นเอสีส้ม” แบบเต็มขั้น นอกจากนี้เมื่อเข้ามาสมัครในพรรคแล้ว จะต้องผ่านการอบรมหลายหลักสูตรของพรรค ซึ่งส่วนใหญ่จัดขึ้นที่สนามกอล์ฟพัฒนา สปอร์ท คลับ ของตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” เพื่อเฟ้นหา “ดีเอ็นเอส้มแท้” ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในยุคของ “ก้าวไกล-ปชน.” แทบไม่มี “งูเห่า” เกิดขึ้นเลย กระทั่งเกิดกรณีของ “กฤษฎิ์”
ที่น่าสนใจในยุคหลังจากนี้ ว่ากันว่า อาจมีการเดินเกมดีล “บ้านใหญ่-ตระกูลดัง” ในพื้นที่ท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งถัดไปแบบ “ลำพูนโมเดล” เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่า นอกจาก “เขตเมือง” ที่มีฐานเสียงค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว แต่ในเขตชนบทหลายพื้นที่ คนยังไม่เชื่อมั่น หรือไม่ไว้ใจ “พรรคส้ม” เท่าที่ควร และ “คนชนบท” มีแนวคิดแตกต่างจาก “คนเมือง”
ดังนั้นการหวังพึ่งพิง “บ้านใหญ่” อาจส่งผลดีมากกว่าผลเสีย เพื่อหวังเจาะพื้นที่ “แดงเข้ม-น้ำเงินเข้ม” ปูทาง “แลนด์สไลด์” จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้
บทสรุปการแก้เกมของ “พรรคส้ม” รอบนี้จะถึงเป้าหมายอย่างที่ฝันเอาไว้หรือไม่ ต้องติดตามเกมกันอีกยาว ๆ







