อัปเดต '3 เงื่อนงำ' ตึก สตง.ถล่ม กมธ.ปปช.รุกสอบแก้แบบก่อสร้าง

อัปเดต '3 เงื่อนงำ' ตึก สตง.ถล่ม กมธ.ปปช.รุกสอบแก้แบบก่อสร้าง

อัปเดต 3 เงื่อนงำเหตุตึก สตง.แห่งใหม่ ถล่มหลังแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ เปิดโปง ‘ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10’ เครือข่าย 14 บริษัท กวาดงานรัฐ 29 โครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท

KEY

POINTS

  • ผ่านมาเดือนเศษ อัปเดต 3 เงื่อนงำเหตุการณ์ตึก สตง.แห่งใหม่ ถล่มหลังแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์
  • เปิดโปง ‘ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10’ เครือข่าย 14 บริษัท กวาดงานรัฐ 29 โครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท
  • ขยายผลสอบ ‘นอมินี’ ในมือดีเอสไอ-กระทรวงพาณิชย์ จับ 1 คนจีน 3 คนไทย ไว้สอบสวนได้แล้ว
  • ปม ‘เหล็กข้ออ้อย’ ส่อไม่ได้มาตรฐาน ก.อุตฯ ยังสาวลึกเอาผิด ‘ซินเคอหยวน สตีล’ ต่อเนื่อง
  • โฟกัส ‘แก้ไขแบบก่อสร้าง’ ประเด็นหลัก อาจเป็นสาเหตุทำให้ตึกถล่ม กมธ.ป.ป.ช.เกาะติด-ตำรวจจ่อออกหมายจับ 3 กลุ่ม

ผ่านมาราวเดือนเศษ ภายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ในไทย 28 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่กำลังก่อสร้าง พังถล่มลงมา จนสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และสูญหาย จำนวนมาก

เรื่องนี้กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทันควัน พลันที่ทุกหน่วยงานรัฐเข้าไปดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาคารหลังนี้ ถูกก่อสร้างโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี คือ Joint Venture ระหว่าง “อิตาเลียนไทยฯ” รับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CREC ที่มี “ทุนจีน” ถือหุ้นใหญ่

ในส่วนของกรุงเทพธุรกิจ ได้ขยายผลนำเสนอข้อเท็จจริงพบว่า CREC ในไทย มีบริษัทเครือข่ายอีกกว่า 14 บริษัท โดยมี 3 คนไทย เข้าไปเป็นกรรมการและถือหุ้น รวมถึงเข้าเป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกอย่างน้อย 19 โครงการ รวมวงเงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกหน่วยงานรัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำไปใช้ 

กระทั่งสืบค้นพบว่า CREC ได้งานรัฐรวมอย่างน้อย 29 สัญญา รวมวงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังได้แกะรอย เปิดโปงข้อเท็จจริงทั้งกิจการร่วมค้า PKW ที่เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึง TOR ต่าง ๆ ให้สาธารณชนรับทราบกันไปแล้ว

พฤติการณ์ของ CREC ในไทยนั้น ใช้โมเดลธุรกิจในลักษณะเป็น “กิจการร่วมค้า” กับเอกชนรายอื่น ๆ โดยเริ่มจากเข้าไป“ซื้อซอง”เอกสารการประมูลงานรัฐ แต่ไม่ได้เข้าร่วม“ยื่นซอง” หรือ“ยื่นเสนอราคา” แต่กลับไปดีลกับเอกชนไทยที่“ทุนหนา” เพื่อเข้าร่วมเป็น“กิจการร่วมค้า” ดำเนินการ“ยื่นซอง”ประมูลแทน 

โดยนับตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มี “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” เริ่มจากประมูลงานรัฐขนาดกลาง วงเงินราว 100 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงงานขนาดใหญ่หลัก 300-500 ล้านบาท จนมาถึงงานระดับสัมปทานรัฐหลัก 1,000 ล้านบาท

ปัจจุบันเรื่องนี้ถูกแบ่งข้อเท็จจริงออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 

1.กรณี “นอมินี” คนไทยถือหุ้นแทน “คนต่างด้าว” มีดีเอสไอ-กระทรวงพาณิชย์ เป็นแม่งานเข้าไปตรวจสอบ เบื้องต้นได้จับกุม “ชาวจีน” คือ ชวนหลิง จาง และคนไทย 3 คนคือ นายมานัส ศรีอนันท์ นายประจวบ ศิริเขตร และนายโสภณ มีชัย เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันทั้ง 4 คน ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำระหว่างสอบสวน

2.กรณี “วัสดุก่อสร้าง” ไม่ตรงสเปก และส่อไม่ได้มาตรฐาน มีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นแม่งาน โดย “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการฯ สั่งให้ตรวจสอบสเปกเหล็กที่ใช้ก่อสร้าง จนพบว่ามี “เหล็กข้ออ้อย” บางส่วนอาจไม่ได้มาตรฐาน มาจาก “ซินเคอหยวน สตีล” ธุรกิจที่มีเครือข่าย “ทุนจีน” ถือหุ้น จึงดำเนินการอายัดไว้ตรวจสอบ พร้อมกับสั่งเพิกถอน BOI บริษัทแห่งนี้แล้ว

3.กรณี “สาเหตุตึกถล่ม” ปัจจุบันมีตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย เป็นแม่งาน ปัจจุบันพุ่งเป้าไปที่ “การแก้แบบ” จำนวน 9 ครั้ง ที่ผ่านการอนุมัติในที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยเรื่องนี้ทำควบคู่ไปกับกลไกในสภาฯ คือ กมธ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ หรือ “กมธ.ป.ป.ช.” ที่มี “ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ.

การตรวจสอบของ กมธ.ป.ป.ช.ชุด “ฉลาด” เป็นไปอย่างเข้มข้น มีการเชิญตัวแทนจากกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ตัวแทนจาก สตง. และกลุ่มเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลแล้วจำนวนหลายครั้ง เบื้องต้นพบสารพัดข้อพิรุธหลายประการ สอดคล้องกับสำนวนการตรวจสอบของตำรวจ ในประเด็น “การแก้แบบก่อสร้าง” รวมถึงการ “ปลอมลายเซ็น” วิศวกรผู้ออกแบบหลายสิบคน

ล่าสุด กมธ.ป.ป.ช.ในสัปดาห์นี้ จะดำเนินการต่อเนื่อง ด้วยการเชิญกรมบัญชีกลางมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง และการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม ในวันที่ 14 พ.ค.อีกครั้ง

ขณะที่ความคืบหน้าในส่วนของตำรวจ เมื่อ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำประจักษ์พยาน ผู้บาดเจ็บ สอบ สตง.รับมอบอำนาจ ผู้รับจ้างออกแบบ/ผู้ควบคุมงาน/ผู้ทำการก่อสร้าง 28 ปาก ญาติผู้บาดเจ็บ 86 ราย รวม 193ราย

โดยคณะพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานวัตถุ และพยานเอกสาร ตั้งแต่เริ่มการทำTOR และสัญญาการจ้างออกแบบ การจ้างควบคุมงานและการจ้างการก่อสร้าง และพยานวัตถุชิ้นส่วนเหล็ก คอนกรีต แบ่งการดำเนินการเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก คือ ผู้ออกแบบ ซึ่งประกอบด้วย กรรมการผู้มีอำนาจ และวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมน์ฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ก่อสร้าง ประกอบด้วยกรรมการผู้มีอำนาจ และวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มผู้ควบคุมงานก่อสร้าง จะมีทั้งกรรมการผู้มีอำนาจ และวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับกิจการร่วมค้าPKW

ใน 3 กลุ่มนี้ ข้อมูลข้อเท็จจริง พบว่า การออกแบบ มีการทำ TOR ว่าจ้าง 2 บริษัทในการออกแบบอาคาร วันที่ 9 ต.ค.2561 ซึ่งการออกแบบเป็นไปตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ พนักงานสอบสวนได้ส่งแบบไปให้สภาวิศวกรและวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ 

รวมถึงผู้เชี่ยวชาญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะได้ผลการตรวจสอบในสัปดาห์หน้า จะไปสอดคล้องกับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตั้งขึ้นโดยนายกรัฐมนตรี ว่าการออกแบบดังกล่าวสอดคล้องกับกฎกระทรวงและได้มาตรฐานหรือไม่

ส่วนเรื่องการก่อสร้างอาคาร ได้ออก TOR และว่าจ้างกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2563 ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้ว 

โดยได้นำวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งเหล็ก และคอนกรีตทำการตรวจพิสูจน์ จากการเก็บหลักฐานตั้งแต่วันแรกรวม มีเหล็ก 315 ชิ้น และปูนทั้งพื้น เสา ปล่องลิฟท์ ได้เข้าเก็บหน้างานทุกวัน จนตอนนี้มาถึงชั้นล่างแล้ว ได้ส่งไปตรวจทั้งหมด 75 ชิ้น สัปดาห์หน้าจะได้ผลของการตรวจ 

ขณะนี้ได้ผลการตรวจปูนกับเหล็กมาบางส่วนแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วน ทั้งนี้พนักงานสอบสวน รอให้มีผลออกมาครบถ้วน เพื่อดูมาตรฐานในการก่อสร้างของเหล็กและคอนกรีต

ส่วนเรื่องการจ้างควบคุมงานก่อสร้าง ได้ว่าจ้างกิจการร่วมค้า PKW ได้ทำ TOR พบว่ามีการแก้ไขแบบการก่อสร้าง งวดสัญญา วันที่ 4 ที่มีการแก้ไขคอร์ลิฟท์ โดยมีประเด็นว่า วุฒิวิศวกร ถูกกล่าวอ้างว่า ใช้ลายเซ็นปลอม เรื่องนี้พนักงานสอบสวยได้ข้อเท็จจริงมาจาก สตง. แล้ว และส่งลายเซ็น ไปตรวจแล้วโดยจะได้ผลการตรวจลายเซ็นสัปดาห์หน้าเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น “วิศวกร” ถูกอ้างว่ามีการถูกปลอมลายเซ็น 28 คน ประกอบกับประเด็น สตง.ที่เป็นคนตรวจรับงาน มีการสอบสวนไปแล้ว 32 ปาก ทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบในการรวบรวมพยานหลักฐานนั้น เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว พนักงานสอบสวนก็จะมาพิจารณาข้อกฎหมาย ทั้งในฐานะนิติบุคคลและในฐานะส่วนตัวในการประกอบวิชาชีพ ตาม มาตรา 227 ต่อเนื่องมาตรา 238 เพราะมีผู้เสียชีวิต

คำถามสำคัญคือจะดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้ดีเอสไอรับเรื่องฮั้วประมูลไปแล้ว ส่วนของตำรวจถ้าเรื่องการตรวจรับงาน 22 งวด มีการรับเรียบร้อยแล้ว งวดงานพบข้อมูลเรื่องของการมีมติของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ในการบอกเลิกสัญญาตั้งแต่ 15 ม.ค. 2568 

โดยอ้างว่าการก่อสร้างต้องได้ 80% แต่ก่อสร้างไปได้ 33% การยกเลิกสัญญาส่งไปที่ผู้ว่า สตง. แต่ปรากฎว่ายังไม่มีการยกเลิกสัญญา ดังนั้นต้องรวบรวมหลักฐานผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ สตง.ด้วย

ทั้งหมดคือข้อเท็จจริงล่าสุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ตึก สตง.แห่งใหม่ถล่ม สร้างบาดแผลที่เจ็บปวดให้กับผู้สูญเสีย รวมถึงประเทศไทย และกลายเป็นอีกหนึ่งจุดด่างพร้อยของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งน่าจะถูกพูดถึงไปอีกนานเท่านาน