‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี 'ฮั้ว' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี 'ฮั้ว' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

ความพยายาม สอย สว.สีน้ำเงิน มาสู่จุดที่ "ดีเอสไอ" เสนอข่าวกดดัน "กกต." ให้รับลูกตรวจสอบ แม้ "กกต." จะบอกปัด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานนี้ อาจตกเป็นจำเลยสังคมได้

KEY

POINTS

Key Point :

  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ เล่นบท กดดัน "กกต." ให้เดินหน้าสอย 138 สว. ที่เข้าข่าย ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งสว.
  • ผ่านการนำเสนอข่าวต่อเนื่อง ที่สรุป ผลสอบคดีฮั้ว สว. ว่าพบพฤติกรรมที่ "กกต." ต้องดำเนินการ
  • แม้ว่า "กกต." ออกปากปฏิเสธว่า ยังไม่รู้เรื่อง ทว่าการถูกกดดันนี้ จำเป็นต้องคิดให้ดี
  • เพราะการประโคมข่าวนี้ หาก "กกต." ไม่ทำอะไรสักอย่าง มีหวังจะตกเป็นจำเลยสังคมและถูกเล่นงานด้วย ม.157 ได้
  • ขณะเดียวกัน "สว." ที่อยู่ในข่าย ดาหน้าเล่นเกมดิสเครดิต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ
  • เกมสอบ ฮั้ว สว. รอบนี้ยังเป็นเรื่องยาว เปิดโอกาสให้ ต่อรอง-ฮั้วกันทางการเมืองได้อีก

สงครามการเมือง ระหว่าง “สว.” ที่เสมือนเป็นตัวแทน “ค่ายน้ำเงิน” กับ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ที่เป็นตัวแทน “ค่ายสีแดง” ถูกจับตาความเข้มข้น ในคดี “สอบฮั้วสว.”

จังหวะเดินเกมนี้ มาถึงจุดตั้งต้นของการตรวจสอบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) การได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2561 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ “ดีเอสไอ” ชิงจังหวะตรวจสอบ ผ่านกลไก “คดีพิเศษ” เมื่อ 26 มิ.ย.

‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี \'ฮั้ว\' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

การทำงานของ “ดีเอสไอ” ที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็น “เกมกดดัน” ให้ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ กกต. เร่งทำงานตามหน้าที่ และตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังขาว่า การเลือกกันเองของ สว. เมื่อปี 2567 นั้น มีความไม่ชอบมาพากล และส่อว่ามีการฮั้ว ในลักษณะของการ พก “โพย” ที่ถูกมองว่าเป็น “ใบสั่ง” ให้เลือกผู้สมัคร สว.ที่ถูกล็อกไว้

เพราะก่อนหน้านั้น กกต.มีท่าทีเพิกเฉยและมีแนวโน้มว่าจะปล่อยให้กระบวนการฮั้วเลือก สว. เงียบไปตามกาลเวลา

ล่าสุด ฝ่ายตรวจสอบ เปิดเผยความคืบหน้าผ่านสื่อสาธารณะ ทั้งในแง่ของการตรวจสอบ ที่ได้ทำร่วมกับ กกต.ว่า 2 เดือนที่ผ่านมาได้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการเลือก สว. ระดับประเทศ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน 

โดยการสอบปากคำพยานที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคณะบุคคล และตรวจเส้นเงิน ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ทั้งการเลือกระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ การลงคะแนน และนับผลคะแนนที่พบการเลือกหมายเลขเดียวกัน ซ้ำกันหลายชุด

โดยมีบทสรุปของการตรวจสอบในเรื่องนี้ตามเอกสารข่าว เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “พบการกระทำที่เข้าข่าย มีกระบวนการ หรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยความสุจริต หรือเที่ยงธรรม พบการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป. การได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2561”

และได้ส่งให้ กกต.พิจารณา เพื่อเรียก สว.ที่อยู่ในข่ายการกระทำทุจริต เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามกฎหมาย รวม 138 คน และอยู่ใน บัญชีสำรอง อีก 2 คน

‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี \'ฮั้ว\' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

ว่ากันว่า เหตุที่ “ดีเอสไอ” สรุปการตรวจสอบว่า พบการกระทำที่เข้าข่ายทำผิดกฎหมายชัดเจน เพราะมี สว.บางคนให้ความร่วมมือเป็นพยานปากเอก

นอกจากนั้น การข่าวจากดีเอสไอ ยังระบุว่า วันนี้ กกต.จะทยอยแจ้งข้อกล่าวหากับ สว.กลุ่มแรก รวม 60 คน ฐานความผิด มาตรา 32 มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 70 และมาตรา 77 ของ พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. ปี2561 ซึ่งมีโทษสูงสุด คือ จำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท - 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5-10 ปี หรือ ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ที่เท่ากับ “ต้องโทษประหารชีวิตทางการเมือง"

ในเรื่อง “แจ้งข้อกล่าวหา” ยังไม่มีเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่าจะดำเนินการจริงหรือไม่ และแม้ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. จะปฏิเสธเรื่องนี้สั้นๆ ว่า “ไม่มีมูล ได้ยินแต่ข่าว”

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การข่าวจากดีเอสไอได้สร้างแรงกดดันไปยัง กกต.ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่ และต้องจำใจรับลูก

ผลของการสื่อสารจากดีเอสไอ ตามขั้นตอนแล้ว ทำให้ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ต้องส่งเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.ให้พิจารณาดำเนินการ ตามขั้นตอน คือ ตั้งอนุกรรมการไต่สวน และ กกต.ชุดใหญ่ ที่เห็น “เงา” ผู้ถืออำนาจเหนือกว่า จำเป็นต้องตรองให้ดี

อย่างน้อยเพื่อสร้างเกราะป้องกันคมหอก คมดาบ ที่รอจังหวะฟาดฟันมาถึง โดยเฉพาะการยื่นร้องเอาผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ขณะเดียวกัน ในแง่ของการรับรู้เรื่องนี้ บรรดาสว.ที่อยู่ในข่าย “ถูกสอย” ทั้ง มงคล สุระสัจจะ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร อลงกต วรกี ต่างออกมาเปิดหน้าชนกับดีเอสไอ 

‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี \'ฮั้ว\' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

โดยย้ำถึงการ ไร้อำนาจตรวจสอบของ รวมไปถึงรับลูกจาก “สว.อำนาจเจริญ” ที่อ้างว่ามีชาวบ้านถูก พนักงานสอบสวนของดีเอสไอ คุกคาม และใช้กลไกรัฐ บีบให้ยอมรับถึงการมีอยู่ในกระบวนการฮั้วเลือกสว.

โดยนัยของเรื่องนี้ สังคมมองว่า เป็นการตอบโต้ของ “สว.” ที่ต้องการสร้างประเด็น ลดความน่าเชื่อถือต่อกระบวนการทำงานของ “ดีเอสไอ” ที่แจ้งต่อสาธารณะไปก่อนหน้านั้นว่า “ดีเอสไอลงพื้นที่เก็บหลักฐานสำคัญอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง เชิงลึก ละเอียดรอบคอบ”

เพราะนอกจากคำแถลงแล้ว “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ” รวมถึง “4 สว.อำนาจเจริญ” ไม่สามารถแสดงหลักฐานที่ชาวบ้านอ้างว่าถูกคุกคามจากคนของดีเอสไอ ให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ขณะเดียวกัน สว.อำนาจเจริญทั้ง 4 คน ต่างปิดปากเงียบ ไม่ให้ข้อมูลใดๆ กับสื่อมวลชน ทั้งที่เป็นคนรับเรื่องในตอนแรก

‘ดีเอสไอ’ ตีกัน ‘กกต.’ ชงคดี \'ฮั้ว\' สอย ‘138 สว.สีน้ำเงิน’

นอกจากนั้นแล้ว พล.ต.ต.ฉัตรวรรษยังเน้นย้ำถึงปมความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคการเมือง และ “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ที่ตั้งธงเอาผิด สว. เพื่อสื่อนัยให้เห็นว่า การตรวจสอบฮั้ว สว. นั้น เป็น “เกมการเมือง” มากกว่าเรื่องความยุติธรรม

ต่อเรื่องนี้ ไม่ว่า “สว.” ที่อยู่ในข่ายเป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีฮั้วเลือกตั้งกี่ราย หรือมีเกมการเมืองเบื้องหลังหรือไม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระบวนการตรวจสอบโดยกลไกปกติ ต้องใช้เวลานานเป็นปี เพราะเมื่อ กกต. แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ที่มีชื่อต้องชี้แจงรายละเอียด ทั้งการให้ปากคำ หรือเอกสาร เพื่อประกอบการไต่สวนของ กกต. หากมีมูลจริง ต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาชี้ขาด

ดังนั้น ในห้วงเวลาอีกเป็นปีนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า โอกาสเปิดช่อง “ฮั้วการเมือง” อาจเกิดขึ้นได้อีก เพราะการวัดผลว่าใคร “แพ้-ชนะ" ไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายไหนมีแต้มการเมืองในมือมากกว่า แต่จุดวัดคือ “บารมีการเมือง” ที่ใครจะถือธงนำต่อจากนี้.