รัฐสภา ‘12 ปี สร้าง 5 ปีซ่อม’ งบบานปลาย จับตาตีตก 956 ล้านต่อเติมเฟส 2-3

รัฐสภา ‘12 ปีสร้าง 5 ปีซ่อม’ ตั้งต้น 1.2 หมื่นล้าน บานปลายกว่า 2.3 หมื่นล้าน ถูกร้องทุจริตอย่างน้อย 56 เรื่อง จับตาตีตก 956 ล้าน ต่อเติมเฟส 2-3
KEY
POINTS
- กระบวนการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ มีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง นอกจากรัฐสภาจะไม่ได้ “ค่าชดเชย” จากเอกชน กลับกลายเป็นว่า ฝั่งรัฐสภา ถูกฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท ทว่าต่อมาศาล "ยกฟ้อง"
- จากงบประมาณก่อสร้าง เริ่มต้นตั้งไว้ที่ 12,280 ล้านบาท ผ่านไป 10 ปีบานปลายไปถึง 22,987 ล้านบาทล่าสุด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง หลังจากรัฐสภาเตรียมของบ เพิ่ม “15 โครงการ” มูลค่าสูง 2,773 ล้านบาท
- "งบประมาณที่ขอไป ไม่ใช่งบซ่อมสร้าง(รีโนเวต) แต่เป็นงบต่อเติม เพราะยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ และต้องทำในเฟส 2-3 โดยการก่อสร้างเป็นเพียงการเตรียมพื้นที่เอาไว้ เพื่อรองรับการดำเนินการในอนาคต" ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่สอง จากพรรคภูมิใจไทย
- “ในสัญญาก่อสร้างบอกไว้ว่า ถ้าเกิดความบกพร่อง หรือตรวจแล้วพบว่า ผิดจากสัญญา ต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างมาแก้ไขภายใน 15 วัน โดยกำหนดว่า จะต้องทำให้เสร็จภายในกี่วัน และระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไข จะต้องนำไปบวกกับเวลาค้ำประกัน 2 ปี” “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาฯ
- พรรคสีน้ำเงิน ถูกเชื่อมโยงไปยังจุดเริ่มต้น นับหนึ่งประกวดราคาก่อสร้าง และลงเสาเข็มในยุคที่ “พ่อครูใหญ่” เป็นประธานสภาฯ และโยงไปถึงธุรกิจครอบครัวผู้นำค่ายสีน้ำเงิน ที่คว้างานก่อสร้างรัฐสภามาได้
อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พื้นที่ใช้สอย 424,000 ตารางเมตร ตั้งตระหง่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา การใช้งานหลักคือ เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาในปัจจุบัน ถือเป็นอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แทนที่วังรัฐสภา ในประเทศโรมาเนีย และเป็นอาคารของรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลก รองจากเดอะเพนตากอนของสหรัฐอเมริกา
ทว่า ระยะเวลานับตั้งแต่เดือนก.ค.2551 ซึ่งมีการจัดการประกวดแบบ และได้ผู้ชนะออกแบบคือ "กลุ่มสงบ๑๐๕๑" ก่อนที่จะมีการทำสัญญาก่อสร้างเมื่อเดือนเม.ย.2556 โดยมี บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง และเริ่มวางเสาเข็มตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.2556 ในยุคที่ “ชัย ชิดชอบ” เป็นประธานรัฐสภา
ผ่านไป 12 ปีนับตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็ม นับหนึ่งกระบวนการก่อสร้าง กระทั่งมีการตรวจรับงานแบบ 100% เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2567 อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “สัปปายะสภาสถาน” อันหมายถึง สภาฯ ที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย กลับไม่ได้สงบร่มเย็นดังคำนิยาม
ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ มีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 วันที่ 25 พ.ย.2558 -15 ธ.ค.2559 รวม 387 วัน
- ครั้งที่ 2 วันที่ 16 ธ.ค.2559 - 9 ก.พ.2561 รวม 421 วัน
- ครั้งที่ 3 วันที่ 10 ก.พ.2561 - 15 ธ.ค.2562 รวม 674 วัน
- ครั้งที่ 4 วันที่ 16 ธ.ค.2562 - 31 ธ.ค.2563 รวม 382 วัน
ก่อนที่คณะกรรมการตรวจการจ้างฯ จะมีมติเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2563 ในยุคที่ “ชวน หลีกภัย” เป็นประธานรัฐสภา “ไม่ขยายสัญญา” การก่อสร้างครั้งที่ 5 ให้บริษัท ซิโน-ไทยฯ พร้อมเรียกค่าปรับวันละ 12 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 จนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ
หลังเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ แบบ “สร้างไป ซ่อมไป” เพียง 5 ปีเศษ นอกจากรัฐสภาจะไม่ได้ “ค่าชดเชย” วันละ 12 ล้านบาท จากเอกชน ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2564 กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
กลับกลายเป็นว่า ฝั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภา ถูกฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท จากบริษัท ซิโน-ไทย ด้วยเหตุผลที่ว่า ฝ่ายรัฐสภาส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างล่าช้า จนเป็นเหตุให้การก่อสร้างต้องเกินกำหนด
ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 “ยกฟ้อง” เนื่องจากตามสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า กรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ อีกทั้งได้ขยายเวลาทำการก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน
จริงอยู่แม้ฝ่ายรัฐสภาจะชนะคดี ไม่ต้องเสียค่าโง่เป็นจำนวน 1,590 ล้านบาท แต่สารพัดปมร้อนที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีคดีที่ค้างคาอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.
12 ปีสร้าง 5 ปีซ่อม บานปลาย 2 หมื่นล้าน
ยิ่งไปกว่านั้น จากงบประมาณก่อสร้าง เริ่มต้นตั้งไว้ที่ 12,280 ล้านบาท ผ่านไป 10 ปีบานปลายไปถึง 22,987 ล้านบาท
ล่าสุด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง หลังจากรัฐสภาเตรียมของบฯ เพิ่ม “15 โครงการ” มูลค่าสูง 2,773 ล้านบาท ท่ามกลางคำถามถึงความคุ้มค่าจำเป็นของงบประมาณ ทั้งที่เพิ่งเปิดใช้รัฐสภาไปได้ 5 ปี ว่ามีความสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด
“พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดประเด็นนี้ ระบุถึงคำของบประมาณปี 2569 ของรัฐสภาที่พบว่ามี "15 โครงการ" แบ่งเป็น “10 โครงการ” ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2569 โดย ครม. และอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ รวม 956 ล้านบาทประกอบด้วย
- โครงการ ก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่พิพิธภัณฑ์รัฐสภา (รวมค่าจ้างที่ปรึกษา) งบฯ 44 ล้านบาท
- พัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D ห้องบรรยายใหญ่ B1-2 งบ 180 ล้านบาท
- ปรับปรุงไฟส่องสว่างเพิ่มเติมบริเวณห้องประชุมสัมมนาชั้น B1 และ B2
- งบ 117 ล้านบาท
- ปรับปรุงศาลาแก้ว 2 หลัง งบ 123 ล้านบาท
- ปรับปรุงห้องประชุม งบ 118 ล้านบาท
- ปรับปรุงพื้นที่ครัวของอาคารรัฐสภา งบ 117 ล้านบาท
- ติดตั้งภาพ และเสียงประจำห้องจัดเลี้ยง ชั้น B2 งบ 99 ล้านบาท
- จัดซื้อจอ LED Display งบ 72 ล้านบาท พัฒนาปรับปรุงพื้นที่ส่วนภูมิทัศน์ และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ งบ 43 ล้านบาท
- ปรับปรุงห้องจัดเลี้ยง ชั้น 1 โซน C งบ 43 ล้านบาท
และ “5 โครงการ” ที่หน่วยงานทำคำขอ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2569 โดย ครม. รวม 1,817 ล้านบาท ทั้ง
- ก่อสร้างอาคารจอดรถรัฐสภา (เพิ่มเติม) รวมค่าควบคุมงาน และค่าจ้างที่ปรึกษา งบ 1,529 ล้านบาท
- ออกแบบ และตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา ในห้องประชุมสุริยัน งบ 133 ล้านบาท
- จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย งบ 74 ล้านบาท
- ระบบป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 และเสริมสร้างคุณภาพอากาศ งบ 50 ล้านบาท
- จ้างงานซ่อมแซมปรับปรุงเสาไม้สัก งบ 31 ล้านบาท
“ภราดร” อ้าง “ต่อเติม” ไม่ใช่ "รีโนเวต"
ประเด็นร้อนดังกล่าว มีคำชี้แจงจาก “ภราดร ปริศนานันทกุล” รองประธานสภาฯ คนที่สอง จากพรรคภูมิใจไทย ระบุถึงข้อท้วงติงที่ไม่เหมาะสม โดยระบุว่า งบประมาณที่ขอไป ไม่ใช่งบซ่อมสร้าง(รีโนเวต) แต่เป็นงบต่อเติม เพราะยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ และต้องทำในเฟส 2-3 โดยการก่อสร้างเป็นเพียงการเตรียมพื้นที่เอาไว้ เพื่อรองรับการดำเนินการในอนาคต
อีกทั้งเป็นเพียงแค่ร่างงบประมาณปี 2569 เท่านั้น ยังไม่ได้เป็นที่สิ้นสุด ขอเมื่อเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 1 สิ้นเดือนพ.ค. นี้ จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งมีทั้ง สส. และบุคคลภายนอกเข้ามาทำหน้าที่พิจารณา
อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช.ตั้ง 3 ปมสงสัย
ทว่าในมุม “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร มือตรวจสอบ ที่เกาะติดปัญหาการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ มาอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้มี 56 คำร้องเกี่ยวกับการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาฯ ที่เขาเป็นผู้ร้องเรียน ค้างคาอยู่ใน ป.ป.ช. ยังไม่นับกรณีมีบุคคลต่างๆ ยื่นร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเช่นกัน
อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช.ตั้ง “3 ปมสงสัย” ล่าสุด
ประเด็นแรก ที่จอดรถในรัฐสภา ที่ ณ วันนี้พบปัญหาบริเวณชั้น B2 มีน้ำรั่วซึมจากใต้ดินกว่า 100 จุด เรื่องนี้ตนได้ร้องไปที่ป.ป.ช.และแจ้งไปที่สภาฯ เพื่อขอให้ชะลอการตรวจรับงาน เนื่องจากมีการก่อสร้างที่ผิดแบบ ไม่มีผนังกันซึม แต่กลับมีการตรวจรับงานในภายหลัง และในนำงบ ที่เหลือจากสภาฯ ไปจ้างเอกชนเข้ามาออกแบบทำที่จอดรถใต้ดินเพิ่มอีก เป็นจำนวนเงิน 106 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายการใช้งบฯ ที่ระบุในรายการก่อสร้างอาคารที่จอดรถ อีก 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นคนละส่วนกับชั้นใต้ดิน เท่ากับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่ แถมในการประกวดราคาออกแบบ กลับมีการระบุว่า เป็นการออกแบบอาคารจอดรถชั้นใต้ดิน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกัน
วิลาศ จึงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีเจตนากลบเรื่องเก่า เพื่อใช้เรื่องใหม่เข้ามาแทนหรือไม่
คาใจประกันเหลือ 2 ปี แต่ของบใหม่
ที่แปลกประหลาดคือ เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนตรวจรับงาน แต่กลับมีการตรวจรับงาน ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังอยู่ในระยะเวลาประกัน 2 ปี
“ในสัญญาก่อสร้างบอกไว้ว่า ถ้าเกิดความบกพร่อง หรือตรวจแล้วพบว่า ผิดจากสัญญา ต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างมาแก้ไขภายใน 15 วัน โดยกำหนดว่า จะต้องทำให้เสร็ภายในกี่วัน และระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไข จะต้องนำไปบวกกับเวลาค้ำประกัน 2 ปี แต่จนบัดนี้เหตุการณ์ที่เป็นปัญหา ได้เกิดก่อนส่งมอบงานวันที่ 4 ก.ย.2566 ก็ยังไม่มีการแก้ไข แต่กลับตรวจรับงานกันได้”
อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช. ยังตั้งข้อสังเกต ประเด็นที่สอง การใช้งบปรับปรุง “ศาลาแก้ว” 2 หลัง จำนวน 123 ล้านบาทว่า จากที่สอบถามทางรัฐสภา ได้ข้อมูลว่า การก่อสร้างศาลาแก้วขึ้น เพื่อใช้ในการจัดงานพระราชพิธี ซึ่งจากการตรวจสอบพบความผิดปกติ 3 ส่วน คือ
1.ทางเดินเท้า ในข้อกำหนดระบุว่า ให้ใช้หินวิทิตาส้ม ขนาด 60x60 เซนติเมตร แต่ในการก่อสร้าง กลับใช้หินขนาด 40x40 เซนติเมตร
2.ทางเดินเท้าตามแบบจะต้องมีคานรองรับ แต่ในการก่อสร้างทั้งทางเท้า และคานรองรับ กลับไม่มีการเชื่อมติดกัน 3.บริเวณรอบศาลาแก้ว ซึ่งมีสระน้ำกลับพบกระเบื้องที่ปูใต้สระน้ำ มีการหลุดล่อน จนยกตัวโผล่ขึ้นเหนือน้ำ จุดนี้เอง ที่ทำให้เกิดน้ำซึมไปยังบริเวณชั้น B1
ตามข่าวที่ระบุว่าจะมีการปรับปรุงศาลาแก้ว ด้วยการติดแอร์ วิลาศ มองว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางแห่งหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีข่าวปรากฏออกมาเป็นระยะ
ประเด็นที่สาม งบประมาณปรับปรุงพื้นที่บริเวณสระมรกต หากย้อนไปดูเจตนาเริ่มต้น การมีสระมรกตเนื่องจากรัฐสภามีขนาดใหญ่ มีความจำเป็นต้องประหยัดไฟ ทำให้บริเวณนั้นจะไม่มีการติดแอร์ แต่ใช้ความชื้นจากน้ำเพื่อทดแทน การอ้างปัญหาว่ามียุงลาย ขณะที่ห้องสมุดรัฐสภาตั้งอยู่บริเวณชั้น 8 และชั้น 9 ที่อ้างว่า อาจมีปัญหาความปลอดภัย ในการคัดกรองบุคคลที่จะขึ้นไปชั้นบน
วิลาศ มองว่า รัฐสภามีมาตรการในการตรวจบุคคลที่จะเข้าออกอยู่แล้ว หากใช้มาตรการเข้มงวด จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับย้าย
แต่สิ่งที่เป็นข้อพิรุธ คือ บริเวณดังกล่าว จะมีการปูพื้นด้วยไม้ตะเคียนทอง และในแบบได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ขนาดต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 3 เมตร ขณะที่ร่องห่าง ระหว่างไม้ต้องไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ซึ่งตนได้มีโอกาสนำผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ และศาลยุติธรรม เข้าไปตรวจสอบ กลับพบว่า มีไม้ปลอมรวมอยู่ด้วย ขณะที่ความยาวของไม้ มีการใช้ไม้ที่ผิดแบบ
จึงกลายเป็นว่าการใช้งบ จำนวนดังกล่าว อาจเป็นการปกปิดเรื่องเก่า เพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบหรือไม่
ปมพิรุธต่างๆ เหล่านี้ คือ สารพัดปัญหาที่รัฐสภา กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงอยู่ในเวลานี้ จึงต้องไปลุ้นเกมวัดพลังในสภาฯ ซึ่งจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่สภาฯ วาระแรก ในวันที่ 28-30 พ.ค.68 นี้ หลังผ่านวาระแรกก็จะเข้าสู่การพิจารณาชั้นกรรมาธิการ(กมธ.)
ต้องจับตาการทำหน้าที่ตรวจสอบของ “ขั้วฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะพรรคประชาชน มีธงชัดเจน ในการรอชิงหวะใน กมธ.เพื่อ “หั่นทิ้ง” งบในส่วนนี้ เพื่อหวังขยี้แผลรัฐบาล
โดยเฉพาะพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งถูกเชื่อมโยงไปยังจุดเริ่มต้น นับหนึ่งประกวดราคาก่อสร้าง และลงเสาเข็มในยุคที่ “พ่อครูใหญ่” เป็นประธานสภาฯ และโยงไปถึงธุรกิจครอบครัวผู้นำค่ายสีน้ำเงิน ที่คว้างานก่อสร้างรัฐสภามาได้
ไม่ต่างจาก “ขั้วรัฐบาล” ท่ามกลางการเปิดเกมต่อรองวัดพลังภายในเช่นกัน เพราะขึ้นชื่อว่า “งบประมาณ” แล้ว ถึงที่สุด จะหาช่องทางเดินหน้า หรือจะหาทางลงอย่างไร ในประเด็นร้อนระอุ ที่กำลังจุดติดในสังคมเวลานี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







