สารพัดดราม่า ‘รัฐสภาใหม่’ ใครจะเชื่อ ! เกือบเสียค่าโง่ 1.5 พันล้าน

หลังเปิดใช้รัฐสภาใหม่ ไปเพียง 5 ปีเศษ ล่าสุดเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเตรียมของบเพิ่มอีก 15 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 2,773 ล้านบาท
KEY
POINTS
- “สัปปายะสภาสถาน” อันหมายถึงสภาฯ ที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย กลับไม่เป็นดังคำนิยาม
- ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้น จากปัญหาการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ แทนที่รัฐสภาจะได้ “ค่าชดเชย” จากเอกชนที่ก่อสร้างล่าช้า กลับกลายว่าเป็นฝั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภาที่ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท
- ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 “ยกฟ้อง” เนื่องจากสัญญาเขียนชัดในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้
- หลังเปิดใช้รัฐสภาใหม่ ไปเพียง 5 ปีเศษ ล่าสุดเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเตรียมของบ เพิ่มอีก 15 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 2,773 ล้านบาท ท่ามกลางคำถาม ถึงความคุ้มค่าจำเป็น
“อาคารรัฐสภา”แห่งใหม่ ตั้งตระหง่านบนพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านเกียกกาย กรุงเทพมหานคร “119.6 ไร่” ฐานบัญชาการฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ชื่อ “สัปปายะสภาสถาน” อันหมายถึงสภาฯ ที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย กลับไม่เป็นดังคำนิยาม
ด้วยสารพัดปมร้อนที่เกิดขึ้นกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งกระบวนการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ นับตั้งแต่เริ่มวางเสาเข็มวันที่ 8 มิ.ย.2556
กระบวนการมีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง กินเวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 10 ปี อีกทั้งระหว่างนั้น ยังสร้างไป ซ่อมไป เป็นระยะ
ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้น จากปัญหาการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ แทนที่รัฐสภาจะได้ “ค่าชดเชย” จากเอกชนที่ก่อสร้างล่าช้า กลับกลายว่าเป็นฝั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภาที่ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท จากบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เอกชนที่รับงาน
ด้วยเหตุผลที่ว่า ฝ่ายรัฐสภาส่งมอบพื้นที่ล่าช้า จนเป็นเหตุให้การก่อสร้างเกินกำหนด
ทว่า ต่อมาศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 “ยกฟ้อง” ด้วยเหตุผล ทั้งผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดี ต่างรับรู้ และตระหนักถึงปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ที่อาจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ในเบื้องต้น
โดยเห็นได้จากในข้อ 1 วรรคสอง ของสัญญาพิพาท ตกลงกันว่า ในการดำเนินการตามสัญญานี้ ผู้ว่าจ้างจะส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หรือตามความพร้อมของผู้ว่าจ้าง
ในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ หรือหากผู้ว่าจ้างไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้เช่นกัน
ขณะเดียวกันในข้อ 24.2 ของสัญญาพิพาท ที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายเวลาก่อสร้างออกไป และผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปตามความเหมาะสม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้ขยายเวลาก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน
กรณีนี้ จึงเห็นว่า ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำหน้าที่พิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไป ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสิ้น ทั้งนี้ ตามข้อ 1 วรรคสอง และข้อ 24.2 ของสัญญา
ผ่านไป 11 ปี มหากาพย์ก่อสร้างอาคารรัฐสภา สถานที่ซึ่งเปรียบเป็น “กองบัญชาการ” ของฝ่ายนิติบัญญัติ มีการตรวจรับอาคารรัฐสภาไปแล้ว 100% ในปีที่แล้ว 2567 แต่จนถึงนาทีนี้ ยังมีสารพัดคำร้องที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.
ก่อนหน้านี้ ในยุคที่ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องการตรวจรับมอบโครงการ ได้ตั้งกรรมการอิสระจากภายนอกเข้าตรวจสอบ จำนวน 6 เรื่อง
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ ประเด็นความไม่สมบูรณ์ของแบบก่อสร้าง แต่ประเด็นนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตจาก “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะยังมีอีก 100 กว่าเรื่อง ที่มีปัญหา แต่ยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการตรวจรับการจ้าง
กระทั่งต่อมา “อาพัทธ์ สุขะนันท์” เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คนปัจจุบัน เปิดหน้าออกมาว่า ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานราชการ ได้ตรวจรับอาคารรัฐสภาไปแล้ว 100% เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา ทิ้งไว้ซึ่งคำถามที่ว่า เรื่องฉาวรัฐสภาใหม่ กำลังถูกตัดตอนหรือไม่
เหนือไปกว่านั้น หลังเปิดใช้รัฐสภาใหม่ ไปเพียง 5 ปีเศษ ล่าสุดเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเตรียมของบ เพิ่มอีก 15 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 2,773 ล้านบาท
ท่ามกลางคำถาม ถึงความคุ้มค่าจำเป็น ของอาคารรัฐสภาที่มีมูลค่าก่อสร้างกว่า 2 หมื่นล้าน ว่ามีความสมเหตุสมผล มากน้อยเพียงใด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







