ย้อนมหากาพย์สารพัดเรื่องฉาว ก่อนสภาฯ ของบพันล้านปรับปรุงเพิ่ม

นี่คือ เงื่อนปมที่เกี่ยวข้องในโครงการของรัฐสภา ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ประชาชนจะ “ไม่ไว้วางใจ” ในงบประมาณกว่าพันล้านบาท
ประเด็นการปรับปรุงหรือต่อเติมอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ กำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก กรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอของบประมาณ ในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 มูลค่าเกือบพันล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเพื่อปรับปรุงพื้นที่ในรัฐสภาจำนวนหลายโครงการ อาทิ ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา 120 ล้านบาท ทำระบบเสียงห้องประชุมสัมมนา ขนาด 1,500 ที่นั่ง มูลค่า 99 ล้านบาท ปรับปรุงห้องประชุม CB406 มูลค่า 118 ล้านบาท ปรับปรุงไฟห้องสัมมนาชั้น B1 และ B2 มูลค่า 118 ล้านบาท ปรับปรุงห้องสารนิเทศ มูลค่า 180 ล้านบาท ปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้านบาท ปรับปรุงครัวรัฐสภา 117 ล้านบาท
ต่อมา “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ออกมาเปิดโปงว่ามี “คำขอ” ปรับปรุงอาคารรัฐสภา โดยมีอย่างน้อย 15 โครงการที่ส่อมีมูลค่าสูงกว่า 2,773 บาท แบ่งเป็น 10 โครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2569 โดย ครม. และอยู่ในร่าง พ.ร.บ. งบฯ (ล้านบาท) รวม 956 ล้านบาท
- ก่อสร้าง และปรับปรุงพื้นที่พิพิธภัณฑ์รัฐสภา (รวมค่าจ้างที่ปรึกษา) = 44 ล้านบาท
- พัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D ห้องบรรยายใหญ่ B1-2 = 180 ล้านบาท
- ปรับปรุงไฟส่องสว่างเพิ่มเติมบริเวณห้องประชุมสัมมนาชั้น B1 และ B2 = 117 ล้านบาท
- ปรับปรุงศาลาแก้ว 2 หลัง = 123 ล้านบาท
- ปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณ = 118 ล้านบาท
- ปรับปรุงพื้นที่ครัวของอาคารรัฐสภา = 117 ล้านบาท
- ติดตั้งภาพ และเสียงประจำห้องจัดเลี้ยง ชั้น B2 = 99 ล้านบาท
- จัดซื้อจอ LED Display = 72 ล้านบาท
- พัฒนาปรับปรุงพื้นที่ส่วนภูมิทัศน์ และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ = 43 ล้านบาท
- ปรับปรุงห้องจัดเลี้ยง ชั้น 1 โซน C = 43 ล้านบาท
ส่วน 5 โครงการที่หน่วยงานทำคำขอ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2569 โดย ครม. (ล้านบาท) รวม 1,817 ล้านบาท
- ก่อสร้างอาคารจอดรถรัฐสภา (เพิ่มเติม) (รวมค่าควบคุมงาน และค่าจ้างที่ปรึกษา) = 1,529 ล้านบาท
- ออกแบบ และตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภาในห้องประชุมสุริยัน = 133 ล้านบาท
- จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย = 74 ล้านบาท
- ระบบป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 และเสริมสร้างคุณภาพอากาศ = 50 ล้านบาท
- จ้างงานซ่อมแซมปรับปรุงเสาไม้สัก = 31 ล้านบาท
เรื่องนี้แม้แต่ฝ่ายรัฐบาลบางคนยังมองว่า อาจส่งผลกระทบต่อ “ภาพลักษณ์” ของรัฐบาลได้ โดยแหล่งข่าวจากพรรคร่วมรัฐบาลเปิดเผยว่า รัฐสภาแห่งใหม่ที่ใช้ปัจจุบันนั้นถูกใช้งาน มาเพียง 6 ปี เท่านั้น และได้รับการส่งมอบอาคารที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% ไปเมื่อ 4 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการเสนอของบประมาณเพื่อปรับปรุงในช่วงที่ประเทศเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาประเทศ และกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน ที่ต้องการให้สภา ที่ประกอบด้วย สส. และ สว. ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาความทุกข์ร้อน แต่กลับมีการเสนอของบประมาณเพื่อปรับปรุงพื้นที่ในช่วงเวลานี้อาจถูกมองได้ว่าเป็นการเสนอโครงการที่ไม่เห็นหัวประชาชน และทำไปเพื่อต้องการเงินทอนหรือไม่
เบื้องต้นเรื่องนี้ กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน กมธ.ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงไปแล้ว 2 รอบ และ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ เตรียมเกาะติดโครงการดังกล่าวต่อไป
อย่างไรก็ดีตัวแสดงหน้าฉากของพรรคร่วมรัฐบาลหลายคน ต่างออกมาโต้ว่า เป็นเรื่องของความจำเป็น ยกตัวอย่าง “อดิศร เพียงเกษ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ได้นำรายละเอียดการเสนอของบประมาณเพื่อปรับปรุงให้พวกเราบางคนได้พิจารณา ซึ่งเป็นคนที่สนใจ ซึ่งตนเป็นหนึ่งที่ได้เห็นรายละเอียดเบื้องต้น และตนเห็นว่าควรสนับสนุนให้รัฐสภาพัฒนาไปในทางที่ดี
“งบประมาณของสภาฯ เพื่อพัฒนาบ้านของฝ่ายนิติบัญญัติให้พัฒนาและรับรองในทุกด้าน ซึ่งผมเชื่อว่าจะมีการทุจริตยากมาก เพราะหากสำลีหล่นยังไม่ถึงพื้นสามารถรู้แล้วว่าใครทำ ทั้งนี้ที่ผ่านมาฝ่ายนิติบัญญัติได้รับงบประมาณมาน้อยมาก เมื่อเทียบกับฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการ” อดิศร กล่าว
ประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้ มิใช่แค่อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ มูลค่าก่อสร้างกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ และเพิ่งตรวจรับ 100% ไปเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น ไฉนต้องมีการปรับปรุงเสริมแต่งเพิ่มเติมอีกด้วยงบหลักพันล้านบาท แต่เป็นเรื่องของความ “ฉาวโฉ่” ที่เคยเกิดขึ้นกับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาหลายครั้ง ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจถึงความโปร่งใส?
เริ่มจากเงื่อนปมใหญ่โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภา ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 ยุค “ปู่ชัย ชิดชอบ” เป็นประธานสภาฯ นับตั้งแต่ก่อสร้าง จนถึงสร้างเสร็จกินเวลายาวนานกว่า 16 ปี ในช่วงเวลานั้น เกิดข้อครหา และถูกยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบมากมายถึงความไม่ชอบมาพากลในการก่อสร้าง ทั้งการว่าจ้างเอกชนก่อสร้าง การใช้วัสดุในการก่อสร้าง เป็นต้น โดยหลายเรื่องถูกร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนไปแล้ว
เอาแค่เรื่องที่ “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะอดีต กมธ.ป.ป.ช.ของสภาฯ ติดตามตรวจสอบ และยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.สอบก็ปาไปไม่น้อยกว่า 31 สำนวนแล้ว โดยพุ่งเป้าร้องไปที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการตรวจการจ้างกรณีกระทำผิดกฎหมาย และข้อสัญญาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ นอกจากนี้ยังมีการร้องต่อผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยข้อกล่าวหาที่ร้องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทุจริตทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีกรณีนำดินจากพื้นที่โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ในที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน กท.3049 ถ.ทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต กทม. จำนวน 5 แสน ลบ.ม. ที่สภาบริจาคให้มูลนิธิ และวัดต่าง ๆ กลับมีการลักลอบนำดินตรงนี้ไปถมที่ดินของ “ทุนใหญ่” บางเจ้า จนถูกตรวจสอบอย่างหนัก และในยุค คสช.มีการใช้อำนาจตาม “มาตรา 44” ปลดเลขาธิการสภาฯ ขณะนั้นมาแล้ว อย่างไรก็ดีในตอนหลังได้มีการยุติเรื่องเฉพาะเคสของเลขาธิการสภาฯ เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีมูล เป็นต้น
หรือย้อนกลับไปไกลกว่านั้น กรณี “นาฬิกาสภาฯ” มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลผิด “อดีตเลขาธิการสภาฯ” รายหนึ่ง กรณีจัดจ้างโครงการปรับปรุงระบบนาฬิกา (Clock system) สำหรับติดตั้งบริเวณภายใน และโดยรอบอาคารรัฐสภา โดยมิชอบ และพบว่ามีการฮั้วประมูลกันเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีกรณีกระทรวงการยุติธรรมสหรัฐ เคยเปิดเผยข้อมูลเมื่อปี 2560 ว่า ตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา บริษัทที่เกี่ยวกับการติดตั้งกล้อง CCTV ได้ติดสินบนผ่านบริษัทลูกในไทยตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ผ่านที่ปรึกษารายหนึ่ง รวมวงเงินรวมกันทั้งหมดกว่า 40 ล้านบาท ในจำนวนนี้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับ “ที่ปรึกษา” อีกรายหนึ่ง ให้ได้มาซึ่งสัญญาการติดตั้งกล้องซีซีทีวีในรัฐสภาอีกด้วย ขณะที่บริษัทดังกล่าว ช่วงปี 2544-2553 เป็นคู่สัญญากับสภาฯ จำนวน 13 โครงการ วงเงินประมาณ 100.5 ล้านบาท โดยเป็นการจัดซื้อกล้อง CCTV 2 โครงการ วงเงินประมาณ 56.3 ล้านบาท
ทั้งหมดคือเงื่อนปมที่เกี่ยวข้องในโครงการของรัฐสภาทั้งแห่งเก่า และแห่งใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ประชาชนจะ “ไม่ไว้วางใจ” ในงบประมาณกว่าพันล้านบาท ที่จะใช้ปรับปรุงอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ดังกล่าว บทสรุปเรื่องนี้เหล่านี้จะไปจบที่ใด คงต้องติดตามกันต่อไป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







