คดี‘ทักษิณ’จุดเปลี่ยนการเมือง จับตา‘อนุรักษ์’ปรับเกม

คดี‘ทักษิณ’จุดเปลี่ยนการเมือง จับตา‘อนุรักษ์’ปรับเกม เมื่อพท.ไม่ตอบโจทย์ ภท.แกร่งไม่พอ ลุ้นสองแนวทางพิจารณาคดี “กองเชียร์ - กองแช่ง”ยลตามช่อง
KEY
POINTS
- เกมลึก-เกมลับ “รัฐพันลึก” หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับไต่สวนเอง กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ป่วยทิพย์ พักรักษาตัวชั้น 14
-
แนวทางแรกเข้าทางของ “กองเชียร์” มองว่า “กลุ่มต้าน” ยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณากรณีดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งศาลตีตกคำร้องทุกครั้ง หากศาลไม่ทำให้เกิดความชัดเจน “กลุ่มต้าน” จะยื่นร้องแบบไม่มีที่สิ้นสุด
-
แนวทางสองเข้าทาง “กองแช่ง” ประเมินว่าสถานการณ์ของ “ทักษิณ” กลับเข้าสู่เรดโซน โดยศาลจะเรียกข้อมูลพยานหลักฐานจาก “บุคคล-หน่วยงานรัฐ” ทั้งหมดจนสิ้นสงสัย
เกมลึก-เกมลับ “รัฐพันลึก” หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับไต่สวนเอง กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ป่วยทิพย์ พักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่เฉียดพื้นที่จองจำแม้แต่วันเดียว
เบื้องต้น “ศาล” ซึ่งมีอำนาจไต่สวน แจ้งให้จำเลย ประกอบด้วย ทักษิณ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล พร้อมกับนัดหมาย ในวันที่ 13 มิ.ย.
บ่วงติดพัน “ทักษิณ” มีผลต่อสถานการณ์ทางการเมือง จากเดิมที่มีกระแสข่าวเขย่า-ขย่ม ให้ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ปรับคณะรัฐมนตรี โดย “บิ๊กเนม” ทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก ต่างเปิดดีลเปลี่ยนตัว “รัฐมนตรี” รวมถึงปมแตกหัก “พรรคภูมิใจไทย - เครือข่ายสีน้ำเงิน” แต่คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 ทำให้ “ทักษิณ” ต้องชะลอเกมรุก ปรับโหมดวางเกมรับแทน
บรรดานักวิเคราะห์การเมืองฝั่ง “กองเชียร์ - กองแช่ง” ต่างยลตามช่อง คาดการณ์คำวินิจฉัยของ “ศาล” ส่องกล้องมองเกมการเมืองทั้งกระดาน โดยมองว่าคำวินิจฉัยอาจจะมีเพียง 2 แนวทาง
แนวทางแรกเข้าทางของ “กองเชียร์” โดยมองว่าที่ผ่านมามี “กลุ่มต้าน” ยื่นคำร้องต่อ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้พิจารณากรณีดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งศาลตีตกคำร้องทุกครั้ง
ทว่า “กลุ่มต้าน” ไม่ลดละความพยายาม ยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาอีก โดยมีการปรับข้อกล่าวหาใหม่ ดังนั้นหากศาลไม่ทำให้เกิดความชัดเจน “กลุ่มต้าน” จะยื่นร้องแบบไม่มีที่สิ้นสุด
“สังเกตได้ว่าศาลไม่รับคำร้องของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เหมือนกับทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้อง แต่ศาลใช้อำนาจของศาลเอง บางคนมองในแง่ลบว่าอาจจะหนักกว่าเดิม แต่หากมองให้แง่บวก พอมองได้ว่าศาลต้องการทำให้คดีจบไป มีความชัดเจน และไม่ต้องมายื่นร้องกันอีก” แหล่งข่าว ระบุ
อย่างไรก็ตามการที่ตัวของ “ทักษิณ”ถูกแขวนบนเส้นด้าย ไม่ใช่สถานการณ์ที่ปลอดภัยเสียทีเดียว เพราะหาก “หัวขบวนอนุรักษ์” ต้องการพลิกเกม เปลี่ยนไพ่เล่น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ “กองเชียร์สีแดง”
แนวทางสองเข้าทาง “กองแช่ง” ประเมินว่าสถานการณ์ของ “ทักษิณ” กลับเข้าสู่เรดโซน โดยศาลจะเรียกข้อมูลพยานหลักฐานจาก “บุคคล-หน่วยงานรัฐ” ทั้งหมดจนสิ้นสงสัย
“การใช้อำนาจวินิจฉัยเองของศาลน่ากังวลสำหรับตัวของนายทักษิณ เพราะหากศาลไม่เห็นว่าอาจจะมีการกระทำความผิด มีโอกาสน้อยมาที่ศาลจะขอไต่สวนเอง จุดอ่อนคือ ทักษิณเดินทางกลับมาถึงไทย เมื่อต้องเข้าเรือนจำ กลับป่วยวิกฤตทันที มันย้อนแย้งกับข้อเท็จจริง” แหล่งข่าว ระบุ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแนวทางเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ไม่ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยจะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อ “ทักษิณ” เมื่อเป็นศาลเดียว ถือว่าทุกอย่างต้องจบ
“อนุรักษ์”ไร้ตัวแทนสู้ “กระแสส้ม”
อนาคตของ “ทักษิณ” ย่อมส่งผลต่อการเมืองภาพใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขายังอยู่ในวังวนอำนาจที่เกี่ยวพันกันทั้งขั้วอำนาจใหม่ - ขั้วอำนาจเก่า
โดยจุดเปลี่ยนของ “ทักษิณ - พรรคเพื่อไทย” คือการพลิกขั้วจับมือกับ “หัวขบวนอนุรักษ์” จัดตั้งรัฐบาลผสม หลังการเลือกตั้งปี 2566 ยอมทิ้งพันธมิตรชั่วคราวอย่าง “ค่ายสีส้ม” ให้อยู่ในสถานะพรรคฝ่ายค้าน
หากมองข้ามชอตไปยังการเลือกตั้งปี 2570 ไม่ว่าชะตากรรมของ “ทักษิณ” จะเป็นอย่างไร แต่ “พรรคเพื่อไทย” ยังอยู่ในสมการทางการเมืองอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ “หัวขบวนอนุรักษ์” ยังไม่มีพรรคการเมืองที่จะเป็นตัวแทนได้ดีกว่า “พรรคเพื่อไทย” ในการสู้กับ “พรรคประชาชน” ซึ่งมีกระแสตอบรับดีกว่าทุกพรรคการเมือง
ดังนั้น “หัวขบวนอนุรักษ์” ยังจำเป็นต้องใช้บริการ “ทักษิณ - พรรคเพื่อไทย” โอกาสแตกหักจึงมีน้อย เพราะหากผลักไปเป็นศัตรู อาจจะไม่เหลือตัวแทนชักธงรับกับ “กระแสสีส้ม” ที่อาจจะน่ากลัวมากกว่า
ยี่ห้อ“ทักษิณ”ไม่ตอบโจทย์ แต่จำเป็น
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าชื่อของ “ทักษิณ” เสมือนของแสลง “ขั้วอนุรักษ์” ซึ่งเปิดศึกรบกันมายาวนาน บรรดาเครือข่ายอนุรักษ์มีหลายชั้น-หลายชั้น ต่างก็มีสายสัมพันธ์หลากหลายระดับเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ “พรรคเพื่อไทย” พลิกขั้วเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยผสมกับพรรคสาขาของเครือข่ายอนุรักษ์ นโยบายหลักที่ “ค่ายสีแดง” ต้องการขับเคลื่อน กลับถูก “เครือข่ายสีน้ำเงิน - เครือข่ายอนุรักษ์” ออกมาขัดขวาง เตะสกัดจนรัฐบาลแทบจะไร้ผลงานชิ้นโบว์แดง
บรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองจึงมองตรงกันว่ายี่ห้อ “ทักษิณ” ยี่ห้อ “ชินวัตร” และยี่ห้อ “เพื่อไทย” ไม่ตอบโจทย์เครือข่ายอนุรักษ์ แต่จำเป็นต้องใช้บริการ เพื่อขัดขวาง “เครื่องจักรสีส้ม”
“ภูมิใจไทย”ไม่แข็งแกร่งพอ
เหตุผลสำคัญที่ “หัวขบวนอนุรักษ์” ยังต้องพึ่งพา “ทักษิณ” เนื่องจากพรรคการเมืองในเครืออนุรักษ์ ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะเชิดขึ้นสู้กับ “กระแสสีส้ม”
แม้ความหวังจะอยู่ที่ “พรรคภูมิใจไทย” แต่กลับมีจุดอ่อนอยู่ที่ “กระแส” ซึ่งติดอยู่ในแดนลบ ผลการเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยได้ สส. บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง ได้ สส. เขต 68 ที่นั่ง บ่งบอกชัดเจนว่าการเมืองบ้านใหญ่แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ แต่การเมืองกระแสมีน้อยมาก
ทว่าปัจจัยของการเลือกตั้ง หากจะขึ้นมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ต้องมีทั้งกระแส และฐานการเมืองที่เข้มแข็ง สถานะของ “พรรคภูมิใจไทย” จึงยังไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นตัวแทนของ “เครือข่ายอนุรักษ์” โดยไม่ต้องพึ่งพา “ทักษิณ - พรรคเพื่อไทย”
ธงหลักปราม“ทักษิณ” ตีกรอบเดิน
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า “หัวขบวนอนุรักษ์” ไม่พอใจจังหวะก้าวทางการเมืองของ “ทักษิณ” ในหลายวาระ จึงไม่แปลกที่จะมี “กลุ่มต้าน - แนวต้าน” ที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาก่อน ออกมาขย่มตลอดเวลา
ว่ากันว่า “ธงหลัก” ของ “หัวขบวนอนุรักษ์” อาจไม่ต้องการผลักให้เป็นศัตรู หรือยืนกันคนละข้าง แต่ต้องการตีกรอบให้เดินอยู่ในแนวทางที่ “เครือข่ายอนุรักษ์” กำหนดเอาไว้ โดยไม่ให้เลยธง-เกินป้าย ทำตามใจตัวเองเสียทุกเรื่อง
หลังจากนี้ จึงต้องจับตาจังหวะก้าวย่างทางการเมือง ระหว่าง “ทักษิณ” กับ “เครือข่ายอนุรักษ์” จะหาจุดตรงกลางลงตัวหรือไม่ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัย ยืม “อำนาจ” มาบริหารซึ่งกันและกัน







