แอมเนสตี้ ชี้ 'ไทย' น่ากังวลปมละเมิดสิทธิ แนะปฏิรูปกฎหมาย-ยธ.

แอมเนสตี้ ชี้ 'ไทย' น่ากังวลปมละเมิดสิทธิ แนะปฏิรูปกฎหมาย-ยธ.

แอมเนสตี้ เผยรายงานสิทธิมนุษยชน ชี้ปี67 หลายประเทศน่ากังวล รวมถึงไทย ที่พบการคุกคามนักสิทธิมนุษยชน-ใช้ม.112 ดำเนินคดี แนะปฏิรูปกฎหมาย-ยธ.

 โดย พุทธณี กางกั้น ประธานกรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567  โลกของเรากำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งวิกฤต ที่เกิดจากการพังทลายของระบบระหว่างประเทศ โดยรายงานระบุว่า ปีที่ผ่านมามีผู้พลัดถิ่นทั่วโลกมากกว่า 110 ล้านคน และอย่างน้อย 21 ประเทศออกหรือใช้กฎหมายในการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออก ขณะที่มีนักข่าวอย่างน้อย 124 คนถูกสังหารจากการนำเสนอข่าวสาร และพบว่ากว่า 2 ใน 3 ของนักข่าวเป็นชาวปาเลสไตน์ที่รายงานเหตุการณ์ในฉนวนกาซา ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ในรายงานของแอมเนสตี้ยังชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ในเมียนมาว่ายังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านการรัฐประหารมานาน 4 ปี แต่ก็ยังพบกองทัพยังคงใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในรายงานปีนี้ยังพบข้อมูลการสังหาร ชาวโรฮิงญา รวมถึงการถูกผลักดันออกนอกประเทศ และถูกควบคุมในค่ายที่ขาดมนุษยธรรม โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ ออกหมายจับพล.อ. อาวุโสมิน อ่อง หล่าย ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายที่ดีและสำคัญของกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ

"ประเทศในภูมิภาคนี้รวมถึงประเทศไทย ยังไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนั้นจึงเป็นบทบาทที่ท้าทาย กับประเทศไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าประเทศไทยต้องเลือกที่จะไม่หันหน้าหนี และต้องเลือกที่จะลงมือทำเพื่อไม่ให้เสียงของผู้ที่ถูกละเมิดถูกกลบหายไปในความเงียบอย่างเป็นระบบ" พุทธณี กล่าว 

ด้าน ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า  สถานการณ์สิทธิมนุษยชน ปี 2567 ในบางส่วนจะได้รับการพัฒนา แต่ยังมีความท้าทายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั้งสิทธิพลเมืองและการเมือง และสิทธิด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ขณะที่รัฐบาลต่างๆ ในภูมิภาคกลับเพิกเฉย หรือแม้กระทั่ง ในบางกรณี มีการร่วมมือกันกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยบริบทของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง คือ ลาว เวียดนาม และกัมพูชาเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มน่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะมีกลุ่มทุนหลั่งไหลเข้าไปริเริ่มโครงการพัฒนาและธุรกิจ แต่ประเทศดังกล่าวขาดธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ที่นำไปสู่ปัญหาไล่รื้อที่ชาวบ้าน การค้ามนุษย์ในประเทศกัมพูชาและลาว

ส่วน บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายบางด้าน แต่ภาพรวมยังสะท้อนถึงโครงสร้างที่จำกัดพื้นที่ของภาคประชาสังคม และไม่ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเพียงพอ เช่น การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน การต้อนรับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และการออกหมายจับนักวิชาการต่างชาติในคดีมาตรา 112 ซึ่งเป็นทิศทางที่น่ากังวล

ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุอีกว่า กรณีการสังหารโดยมิชอบ เช่น รอนิง ดอเลาะ นักสิทธิมนุษยชน ในจังหวัดชายแดนใต้ที่ถูกยิงเสียชีวิตในจังหวัดปัตตานี รวมถึงกรณีเหตุการณ์สลายการชุมชนที่ด้านหน้า สภ. ตากใบ ที่หมดอายุความไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 โดยไม่มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดี สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึง วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดที่เป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน แม้ว่าสิทธิมนุษยชนของไทยจะก้าวหน้าบางด้าน เช่น ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม รับรองสิทธิการสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ  แต่ยังพบว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศตกเป็นเป้าหมายของ การสอดแนม การคุกคามทางดิจิทัล และการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขมีข้อเสนอแนะถึงทางการไทย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ คือ 

1.ยุติการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบ และปรับกระบวนการประกันตัวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน

2.ปฏิรูปร่างกฎหมายให้คุ้มครองสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และยกเลิกข้อจำกัดที่เลือกปฏิบัติทางเพศ

3.ปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการคุกคามโดยรัฐและเอกชน

4.สอบสวนการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม และยุติการลอยนวลพ้นผิด แก้ไขกฎหมายต่อต้านการทรมานและการบังคับให้สูญหายให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ

5.รับรองสิทธิในการลี้ภัยและไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิ เคารพและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในที่ดิน วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ