ม.นเรศวร เลิกจ้าง 'พอล แชมเบอร์ส' หลังอัยการไม่ฟ้องคดี ม.112

ม.นเรศวร สั่งเลิกจ้าง 'พอล แชมเบอร์ส' หลังอัยการไม่ฟ้องคดี ม.112 ด้าน ตม.พิษณุโลก ยึดพาสปอร์ตที่เพิ่งได้คืน แม้ยังรอคอยผลอุทธรณ์คำสั่งกรณีเพิกถอนวีซ่า
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานอ้างว่า ได้รับแจ้งจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผศ.ดร.ภาณุ พุทธวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดี ได้ออกคำสั่งยกเลิกการจ้างงาน ดร.พอล แชมเบอร์ส (Dr.Paul Chambers) อาจารย์ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2568 ซึ่งเป็นวันที่ถูกแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
นอกจากนั้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพิษณุโลก ยังมีการยึดหนังสือเดินทางที่ ดร.พอล เพิ่งได้คืนจากศาล หลังจากอธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีมาตรา 112 ทำให้ยังต้องติดตามปัญหาการถูกเพิกถอนวีซ่าต่อไป หลังจาก ดร.พอล ถูกกล่าวหาในคดีมาตรา 112 และศาลจังหวัดพิษณุโลกไม่อนุญาตให้ประกันตัว เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568
เพียงหนึ่งวันถัดมา (9 เม.ย. 2568) ในขณะที่ ดร.พอล ยังถูกคุมขัง ร.ต.อ.ชยพล ธรรพรังษี รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลก ได้เข้าแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (วีซ่า) โดยอ้างเหตุผลว่ามี “พฤติการณ์ต้องหาว่ากระทำความผิด” ตามมาตรา 112 ซึ่งเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 ( 8 ) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
11 เม.ย. 2568 หลังได้รับการประกันตัว ดร.พอล เดินทางไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลก เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง โดยยืนยันว่าพฤติการณ์ไม่เข้าข่ายตามที่ ตม. อ้าง และกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันที่ 18 เม.ย. 2568 ดร.พอล พบหนังสือคำสั่งของ ตม.พิษณุโลก อีกฉบับหนึ่งติดไว้ที่หน้าที่พัก โดยแจ้งขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่อง “พฤติการณ์ต้องห้าม” โดยอ้างว่า “มีข้อผิดพลาดที่ผิดหลง” ของเจ้าหน้าที่ จากเดิมที่อ้างมาตรา 12 ( 8 ) (เช่น การค้าประเวณี ยาเสพติด หรือกิจการที่ขัดต่อศีลธรรม) ไปเป็น มาตรา 12 (7) คือ “น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร”
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ ตม. ยังขอแก้ไขเนื้อหาเรื่องคำสั่งที่ใช้เป็นฐานอ้างอิงอำนาจในการเพิกถอนวีซ่า แก้ไขเป็นคำสั่งที่ใหม่กว่า โดยวันที่ 21 เม.ย. 2568 ดร.พอล ได้เข้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งอีกครั้งที่ ตม.พิษณุโลก โดยระบุว่าการแก้ไขคำสั่งและกระบวนการแจ้งการเพิกถอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ ทำมิได้ตามกฎหมายปกครอง ทั้งตนไม่มีพฤติการณ์ต้องห้ามตามที่แจ้ง คดีมาตรา 112 ยังเป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น ปัจจุบันเรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างรอผลคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง
กรณีการถูกเพิกถอนวีซ่าดังกล่าว ยังทำให้ ดร.พอล ต้องประกันตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยวางหลักประกันไว้ 300,000 บาท และต้องเข้ารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานเดือนละ 1 ครั้ง แม้ยังรอผลการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่ล่าสุดมหาวิทยาลัยนเรศวรได้มีคำสั่งที่ 1586/2568 ลงวันที่ 21 เม.ย. 2568 แจ้งยกเลิกการจ้างผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย โดย ยกเลิกการจ้างงาน ดร.พอล แชมเบอร์ส
เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งจากกองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 5 ว่า ดร.พอล ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ทำให้เป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติในการทำงานในประเทศไทย จึงให้ยกเลิกการจ้างโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. 2568 และต่อมาแก้ไขเป็นให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2568 ส่งผลให้สถานะอาจารย์ของ ดร.พอล สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2568 เป็นต้นมา นอกจากนี้ แม้ล่าสุด อธิบดีอัยการภาค 6 จะมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีมาตรา 112 ของ ดร.พอล แล้ว พร้อมได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก ทำให้ ดร.พอล ออกจากการควบคุมตัวของศาลแล้ว รวมทั้งได้รับคืนหนังสือเดินทาง
แต่วันที่ 2 พ.ค. 2568 เมื่อเข้าแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลก เจ้าพนักงานได้ขอยึดหนังสือเดินทางไว้ โดยชี้แจงว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาประกันห้ามออกนอกราชอาณาจักร และให้วางหนังสือเดินทางไว้ที่เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิฉะนั้นอาจขัดต่อเงื่อนไขประกันตัวในกรณีการถูกถอนวีซ่า
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้จนกว่าจะมีคำสั่งของกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ดร.พอล ยังอยู่ในสถานะที่ “ไม่มีวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน” ซึ่งหากคณะกรรมการมีความเห็นว่าควรให้เพิกถอนวีซ่าเช่นเดิม จะทำให้ ดร.พอล ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักรด้วย
ยังสะท้อนปัญหาการถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากจะสร้างผลกระทบในภาระทางคดีแล้ว ในกรณีของชาวต่างชาติกลับมีความซับซ้อน ด้วยกระบวนการสั่งเพิกถอนวีซ่า ทั้งกระทบต่อชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพภายในประเทศไทย แม้ในท้ายที่สุดจะไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาเลยก็ตาม







